เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนโยบายจัดการเรื่องข้าวนาปรัง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เพื่อควบคุมปริมาณการผลิตข้าว โดยควบคุมการจัดสรรน้ำ และจัดโครงการให้เกษตรกรปลูกพืชอื่นทดแทนข้าวนาปรังในพื้นที่อีก 1 ล้านไร่ ในปี 2560/61 ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง หรือการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ฯลฯ
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า รวมเป้าหมายลดปลูกข้าวนาปรังปีนี้ 1.95 ล้านไร่ “จะส่งผลให้อุปสงค์และอุปทานของข้าวมีความสมดุล และจะไม่ไปกดดันราคาในช่วงที่ข้าวรอบ 2 ออกมา”
ผมเห็นว่า แม้นโยบายดังกล่าวจะปรารถนาดี แต่จะไม่ทำให้ราคาข้าวในตลาดสูงขึ้น และจะทำให้ชาวนาที่ต้องปลูกข้าวน้อยลงได้รับความเดือดร้อน เสียหายจากนโยบายนี้
1.ประเทศไทยไม่ได้ปลูกข้าวไว้กินเองในประเทศ แต่เราปลูกแล้วส่งออกเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณผลผลิตข้าวทั้งหมดที่ปลูกได้
ราคาข้าวภายในประเทศของไทย จึงผูกพันตามราคาข้าวในตลาดโลก คือ ตามราคาที่เราส่งออกไปขาย
เมื่อไหร่ราคาข้าวต่างประเทศสูง ถ้าราคาข้าวภายในประเทศไม่สูงตาม ก็จะมีคนซื้อข้าวในประเทศไปส่งออก จนกระทั่งราคาในประเทศสูงตาม ตรงกันข้าม เมื่อไหร่ราคาข้าวในตลาดโลกตกต่ำ ถ้าราคาข้าวในประเทศไม่ต่ำตาม ก็จะไม่มีใครส่งข้าวไทยออกไปขายต่างประเทศได้ เพราะราคาข้าวบ้านเราสูงกว่าราคาตลาดโลก ซึ่งในที่สุด ราคาข้าวในประเทศก็จะตกลง
2.ทำไมการลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง จึงไม่ช่วยยกระดับราคาข้าวได้แท้จริง?
แม้เราจะลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังลงไปเกือบ 2 ล้านไร่ เท่ากับลดปริมาณผลผลิตข้าวสารลงไปไม่ถึง 1 ล้านตัน แล้วจะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นเชียวหรือ? ลองคิดตาม ดังนี้
ปริมาณข้าวสารที่ผลิตได้ทั่วโลก ในหนึ่งปี มีจำนวนมากกว่า 500 ล้านตัน(ข้าวสาร)
ปริมาณข้าวสารที่ซื้อขายกันระหว่างประเทศ ประมาณ 30 ล้านตัน
ประเทศไทยเราส่งออกข้าว ประมาณ 10 ล้านตัน
เท่ากับว่า เราส่งออกแค่ 1 ใน 3 ของข้าวที่มีการค้าขายกันระหว่างประเทศ
หากเราลดปริมาณการผลิตไม่ถึง 1 ล้านตัน หรือลดปริมาณการส่งออกลงไม่ถึง 1 ล้านตัน ก็ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า มันลดลงไม่ถึง 10% ของปริมาณส่งออกของไทยเราเอง
ยิ่งกว่านั้น ปริมาณ 1 ล้านตันที่เราบีบให้ชาวนาของเราลดลงนั้น ยังคิดเป็นเพียง 0.2% ของปริมาณข้าวที่ผลิตได้ทั่วโลก นั่นหมายความว่า ชาวนาผู้ผลิตข้าวอีก 99.8% ทั่วโลก ยังผลิตกันต่อไป
ด้วยเหตุนี้ นโยบายการลดปริมาณการผลิตข้าวดังกล่าว คงไม่ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้น
3.หากเทียบกับนโยบายข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เอาเงินแผ่นดินไปซื้อข้าวมาเก็บไว้ กักตุนไว้ ไม่ส่งออก มากกว่า 10 ล้านตันข้าวสาร ราคาข้าวในตลาดโลกก็ยังไม่ขึ้น เพราะประเทศอื่นๆ ต่างเพิ่มปริมาณการเพาะปลูก และการส่งออกมาทดแทนส่วนแบ่งตลาดของประเทศไทย และถ้าราคาตลาดโลกสูงขึ้นจริง ผู้บริโภคข้าวก็หันไปบริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรตอย่างอื่นทดแทนข้าว
ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จึงผลาญเงินแผ่นดินไปหลายแสนล้านบาท แถมทำลายระบบการผลิต การตลาด การค้าข้าว ชื่อสียงข้าวไทยย่อยยับ ซ้ำร้ายยังมีการทุจริตโกงกินอย่างมโหฬารที่สุด ทั้งข้าวจีทูจีเก๊ ข้าวเน่า ข้าวหาย ฯลฯ
นโยบายข้าวในยุครัฐบาลปัจจุบัน มีแนวคิดที่จะลดปริมาณผลผลิตข้าว โดยหวังว่าจะช่วยให้ราคาไม่ตกต่ำ แม้จะไม่สร้างความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินมหาศาลเหมือนยุคก่อน แต่ชาวนาที่ถูกจำกัดการผลิตจะเป็นผู้เสียโอกาสปลูกข้าว ต้องหันไปปลูกอย่างอื่น มีโอกาสได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าการปลูกข้าวเดิม
4.ผมคิดว่า ไม่ควรดำเนินนโยบายเช่นนี้ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้ราคาข้าวในประเทศสูงขึ้น เนื่องจากไม่ได้ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้น ยังจะมีชาวนาบางส่วนได้รับความเดือดร้อนจากการจำกัดพื้นที่การผลิต จึงเป็นการทำความผิดพลาดทางนโยบายที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
5.หากรัฐบาลต้องการจะช่วยชาวนาอย่างแท้จริง จะต้องช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อไร ลดต้นทุนการผลิตที่แท้จริง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของชาวนาไทย ซึ่งการลดต้นทุนการผลิตของชาวนาไม่ใช่การแจกเงินช่วยต้นทุน เพราะการแจกเงินไม่ใช่การลดต้นทุน แต่เป็นการแบ่งต้นทุนบางส่วนมาให้รัฐบาลช่วยบรรเทา โดยต้นทุนแท้จริงจะยังเท่าเดิม
คำตอบที่แท้จริง คือ การเพิ่มความสามารถในการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อไร่ หรือลดต้นทุนการผลิตข้าวต่อตัน
6.ในเมื่อผลิตข้าวเพื่อขาย จะละเลยความต้องการของผู้บริโภคไม่ได้ ควรต้องเร่งเจาะตลาดใหม่ แสวงหาตลาดพรีเมียม ตลาดคนมีเงิน โดยจะต้องเปลี่ยนคอนเซ็ปต์จากการขายพืชผลการเกษตรแบบ สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ที่มีลักษณะเดียวกับทั่วโลก ปรับเปลี่ยนมาขายเป็นสินค้า (Product) ที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง มีคุณสมบัติโดดเด่นเฉพาะตัว มียี่ห้อ มีแบรนด์ จึงจะสู้ในตลาดโลกได้ราคาดีกว่าคนอื่น
ข้าวตลาดพรีเมียมมีอยู่จริง ทำได้จริง โดยมีหลายรายทำแล้ว จะต้องคำนึงถึงเทรนด์ของการบริโภคยุคใหม่ ไม่ใช่ปลูกข้าวแค่ให้กินอิ่ม แต่จะต้องเป็นข้าวที่กินอร่อย(Tasty) ปลอดภัย (Safety) และเสริมสุขภาพ (Healthy) จึงจะจับตลาดสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้
7.ปัจจุบัน มีกลุ่มเกษตรกรที่ลงมือผลิตข้าวให้เป็นสินค้าเกรดพรีเมียมอยู่แล้ว ส่งออกสินค้าข้าวไปยุโรป
รัฐอย่ากีดขวางชาวนาที่รวมตัวกันเข้มแข็งดีอยู่แล้ว แต่ควรเข้าไปหนุนเสริม เช่น กุดชุม จังหวัดยโสธร หรือชาวนาที่จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ มีโรงสีเอง ส่งไปขายยุโรป
นโยบายรัฐที่มีผลทำร้ายการรวมตัวของชาวนาในการผลิตสินค้าเช่นนี้อย่าไปทำ เช่น นโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กระทบชาวนาที่รวมกลุ่มปลูกข้าวอินทรีย์ หันไปปลูกข้าวแบบไหนก็ได้ ขายให้รัฐบาล เร่งปุ๋ย เร่งยา ทำให้การรวมกลุ่มของชาวนามีปัญหา เกือบพังทลาย
8.จะต้องพัฒนาเมล็ดพันธุ์ เพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด ไม่ใช่แค่ทนแล้ง ทนแมลง
9.จะต้องพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทาน คลองซอย คลองไส้ไก่ หลังหยุดการพัฒนามานานหลายปี และในการนี้ ควรพิจารณาเก็บค่าใช้น้ำ โดยไม่ส่งเข้าคลังส่วนกลาง แต่เอามาเป็นกองทุนเพื่อให้ท้องถิ่นดูแลพัฒนาต่อยอดบำรุงรักษาระบบชลประทานในพื้นที่ต่อไป
10.จะต้องพัฒนาแปลงปลูกข้าวให้มีความเหมาะสมกับการผลิตมากที่สุด ทั้งความลาดชัน ไม่ให้เอียงจนกระจายน้ำไม่ทั่วแปลง รวมไปถึงพัฒนาคุณภาพดิน ซึ่งปัจจุบัน เรามีระบบที่สามารถใช้ข้อมูลดาวเทียมอ่านค่าของดินในแต่ละพื้นที่ว่าขาดแคลนแร่ธาตุอะไร สามารถปรับปรุงดินให้เหมาะสมได้
และในยุคนี้ ควรส่งเสริมการทำนาแปลงใหญ่ เพราะการใช้เครื่องจักรเทคโนโลยีสามารถทำได้คุ้มกว่า ต้นทุนต่ำกว่า เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้มากขึ้น
11.โลกยุคดิจิทัลไปไกลแล้ว ปัจจุบัน รัฐควรสนับสนุนชาวนาที่ปลูกข้าวแบบประณีต ทำนาโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งการหว่าน การดูแล การใส่ปุ๋ย ให้น้ำ สามารถใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการผลิต ทำให้แม่นยำขึ้น ประณีตขึ้น เช่น สามารถคำนวณได้ว่า ฝนจะตกหรือไม่ตก จะใส่ปุ๋ยเมื่อไหร่จึงจะคุ้มค่าที่สุด การปลูกข้าวนาปรังจะปลูกเมื่อไหร่เพื่อให้การผสมพันธุ์ไม่ตรงกับวันร้อนจัด (เมษายน) หรือหนาวจัด (ธันวาคม) เพื่อมิให้ผลผลิตที่ได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ฯลฯ
12.ควรสนับสนุนการลดต้นทุนการขนส่งข้าว เพราะปัจจุบัน เราขนส่งข้าวทางถนนเกือบมากกว่า 90%
การขนส่งทางน้ำติดสะพานต่ำ ระดับน้ำในแม่น้ำไม่เหมาะสม เส้นทางน้ำไม่สะดวก
การขนข้าวเปลือกจากไร่นาไปที่โรงสี เป็นการขนแกลบ ความชื้น ข้าวลีบ และสิ่งเจือปน รวมเกือบ 40% ของน้ำหนัก สูญเสียต้นทุนค่าขนส่งโดยเปล่าประโยชน์
ควรส่งเสริมให้ชาวนาสีข้าวกล้องในระดับไร่นา จะลดต้นทุนมากขึ้น
13.ข้อเสนอแนะการเปลี่ยนแปลงข้างต้นนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องใช้เวลาพอสมควร จะเห็นผลได้ในระยะกลางและ
ระยะยาว
แต่สำคัญ คือ จะต้องทุ่มเท ลงมือทำอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง มิฉะนั้น ก็จะต้องวนเวียนอยู่กับวงจรที่บอนไซชาวนา ทำให้ง่อยเปลี้ย ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้จริงๆ ต้องพึ่งพารัฐบาลตลอดไป
ส่วนในระยะสั้น เฉพาะหน้า หากจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือชาวนา ก็ควรเลือกใช้มาตรการที่ไม่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขัน ไม่จูงใจชาวนาไปในทิศทางผิดๆ ไม่ทำลายตลอดและกลไกการค้าขาย หรือสร้างแรงจูงใจการผลิตที่เพิ่มต้นทุน ทำลายคุณภาพ ลดประสิทธิภาพการผลิต ควรใช้นโยบายประกันรายได้ เพราะชาวนาที่พัฒนาการผลิตของตนเองก็ยังมีแรงจูงใจที่จะผลิตสินค้าให้ได้ราคาดีต่อไป และไม่เข้าไปแทรกแซงทำลายตลาด
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี