ตลอดปีค.ศ.2017 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกขวบปีที่หลายประเทศในโลกเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ หลายสิ่งที่รุนแรงมาจากปีกลาย ปีนี้ก็ยังรุนแรงต่อไป ขณะที่บางสิ่ง
ที่คิดว่าจะรุนแรงกลับไม่รุนแรง และหลายสิ่งที่คิดว่า จะไม่มีทางเกิดขึ้น ก็กลับเกิดขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกในปีนี้ ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ารวดเร็ว จนกลายมาเป็นส่วนสำคัญในทุกการเปลี่ยนแปลงของโลกขณะนี้ ซึ่งยังครอบคลุมไปถึงนวัตกรรมทางสังคมและการเมืองที่เริ่มเปลี่ยนไปอย่างมากในหลายประเทศ
การเลือกตั้งในหลายประเทศปีที่ผ่านมา เราได้เห็นผู้ท้าชิงหลายคนที่เป็นคนรุ่นใหม่มีฝีมือ แม้ลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งแรก แต่กลับได้รับชัยชนะถล่มทลาย จากความกล้าประกาศนโยบายที่แปลกใหม่ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าผู้นำฝรั่งเศส ออสเตรีย หรือแคนาดา ที่ต่างชนะเลือกตั้งแทบขาดลอย โดยนักวิเคราะห์และสื่อต่างประเทศได้วิเคราะห์ถึงความหวังประชาชนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง สะท้อนออกมาเป็นผลคะแนนการเลือกตั้งของประเทศเหล่านั้น
อย่างประเทศฝรั่งเศส นายเอ็มมานูเอล มาครง ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ให้ความเห็นถึงสาเหตุหลักที่ทำให้นายมาครงชนะว่า เป็นเพราะเขากล้าที่จะเปลี่ยนหลายๆอย่าง ประการแรกคือ กล้าเปลี่ยน ไม่ยึดติดกับทุนและกลุ่มอำนาจเดิม ทั้งที่ความจริงเขาสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคสังคมนิยมที่เป็นพรรคใหญ่ได้ แต่มาครงเล็งเห็นว่าปัจจุบันประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงและความนิยมเหล่านั้น ไม่มีอีกแล้ว มาครงมองขาดว่า ประชาชนต้องการพรรคการเมืองใหม่ ที่มีรูปแบบเป็นกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหว ซึ่งถือเป็นเทรนด์นิยมในขณะนี้ จึงจัดตั้งพรรคอองมาร์ช ก่อนจะได้รับชัยชนะล้นหลาม ทั้งๆ ที่เพิ่งก่อตั้งพรรคไม่นาน และเขาเพิ่งลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้นำขบวนการรากหญ้าและเป็นคนเดียวที่กล้าชูหลายแผนปฏิรูปภาครัฐใหม่ จึงทำให้เขาถูกมองเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ที่ดูมีพลังและมีความสามารถในสายตาของคนฝรั่งเศส ส่วนการบริหารงานจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอดูต่อไป?
ขณะที่ออสเตรียก็ไม่ต่างกัน นายเซบาสเตียน คูร์ซ นักการเมืองหนุ่มวัยเพียง 31 ปี ชนะเลือกตั้งเป็นผู้นำคนใหม่ที่อายุน้อยที่สุดของโลก และเช่นกัน เขาเพิ่งลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกนักวิเคราะห์เชื่อว่า สาเหตุที่เขาชนะ เพราะชูนโยบายสำคัญซึ่งไม่เคยมีผู้ท้าชิงคนไหนชูนโยบายนี้มาก่อน? เช่นนโยบายการแข็งกร้าวด้านต่างประเทศต่อผู้อพยพ ที่จะปิดเส้นทางอพยพเข้ายุโรปของผู้ลี้ภัยและจำกัดเงินช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัย แม้จะรุนแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ถูกใจประชาชนในประเทศ และเขายังมีภาพลักษณ์ที่ดีจากการประกาศปฏิรูปภาพลักษณ์พรรคอนุรักษ์นิยมเป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนความต้องการความเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปในเทรนด์การเมืองของโลก
แคนาดา ในปีนี้ก็มีการเลือกตั้งใหญ่และได้นายจัสติน ทรูโดเป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งที่น่าสนใจรอบนี้คือ การที่เขาใช้เวลาหาเสียงแค่ 78 วัน ก็ได้รับชัยชนะแบบม้วนเดียวจบ จุดเด่นที่เขาโชว์ในการหาเสียงคือ นโยบายผู้อพยพที่มีแนวทางแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับออสเตรียและสหรัฐ เพราะเขาชูนโยบายต้อนรับผู้อพยพทุกคน ไม่ว่านับถือศาสนาใด แคนาดาเป็นจุดพิสูจน์ว่า แท้จริงเทรนด์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของโลกหรือในซีกตะวันตก ไม่ได้โฟกัสเรื่องชาตินิยมและต่อต้านผู้อพยพเหมือนประเทศอื่น แต่สิ่งที่ผู้นำ 3 ประเทศอย่างแคนาดา, ออสเตรียและฝรั่งเศส มีเหมือนกัน คือ การเป็นผู้นำที่เป็นคนรุ่นใหม่ อายุน้อยและกล้าประกาศในเรื่องการสร้างความเปลี่ยนแปลง
นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของประชาชนสะท้อนผ่านการเลือกตั้งหลายชาติตะวันตกแล้ว ในปี 2017 การเมืองโลกยังเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศ เริ่มต้นที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่ประกาศชูนโยบายเข้มข้นความเป็นชาตินิยม อเมริกาต้องมาก่อน และเดินหน้าจัดการปัญหา มาตรการหลายอย่างสะท้อนออกมาเป็นประเด็นการเมือง เช่น การเปิดแฟ้มลับเอกสารสอบสวนการตายของอดีตประธานาธิบดีเจเอฟเค หรือชูนโยบายจัดการกับผู้อพยพ ป้องกันการหลั่งไหลเข้าสหรัฐ อย่างไรก็ตาม นโยบายการฑูตที่แข็งกร้าวนั้น ถือเป็นนโยบายต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปของสหรัฐในรอบหลายปีนับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ที่ในช่วงต้นดูเหมือนทรัมป์ประกาศชัดเจนว่า จะใช้มาตรการตอบโต้ที่หนักหน่วงกับประเทศที่เป็นศัตรู เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง การดำเนินนโยบายปีนี้กลับไม่รุนแรงอย่างที่คิด โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่ทรัมป์เดินสายมาเอเชีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับ 5 ประเทศแถบเอเชียตะวันออก ที่ดูเหมือนไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับจีนทั้งที่ก่อนหน้านี้สองประเทศเหมือนจะมีปัญหาความขัดแย้งกันอยู่ และการพบกันครั้งนี้ดูเหมือนจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป ท่าทีแข็งกร้าวของทรัมป์ที่เคยประกาศตอนแรก กลับกลายเป็นท่าทีที่อ่อนลง? หลังชูนโยบายจะสร้างความสัมพันธ์ทางทหารกับจีน ควบคู่กับเดินหน้าสานสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการทูต หลายคนวิจารณ์เรื่องข้อดีของทรัมป์ในการเป็นนักธุรกิจว่า ทำให้มีชั้นเชิงการเจรจาต่อรอง หาประโยชน์ร่วมในการยึดเป้าเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตามทรัมป์ยังมีประเด็นชี้นำกลุ่มประเทศที่มาเยือน หรือประเทศที่ไปเยือนทรัมป์ในแผ่นดินสหรัฐรวมถึงไทยด้วย นั่นคือประเด็นความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ โดยข้อเสนอของสหรัฐชัดเจนว่า ขอให้ทุกประเทศดำเนินการกดดันเกาหลีเหนือให้ยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ การหาแนวร่วมของทรัมป์ในเอเชียที่ยอมแลกกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เปลี่ยนไป ย่อมสะท้อนเป้าหมายชัดเจนของการเมืองสหรัฐฯที่โฟกัสแคบลงไปอีก นั่นคือ การทดลองยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ในทางตรงกันข้ามเกาหลีเหนือก็มีท่าทีแข็งกร้าวขึ้นกับสหรัฐฯเช่นกัน
ขณะที่ปัญหาทะเลจีนใต้ที่คาดกันว่า ปีนี้น่าจะหนักขึ้นแต่จากท่าทีประธานาธิบดีฟิลิปปินส์-โรดรีโก ตูเตอร์เตที่เปลี่ยนแปลงไป กลับทำให้ปัญหาการเมืองในทะเลจีนใต้เปลี่ยนไปในอีกด้าน โดยตูเตอร์เต้มีท่าทีไม่ยอมแนบแน่นอยู่ภายใต้สหรัฐฯเหมือนอย่างเคย และประกาศตัวเป็นเอกเทศต่อสหรัฐมากขึ้นขณะเดียวกันแม้เขาไม่มีท่าทีที่อ่อนน้อมต่อจีนลง แต่กลับเป็นผลดีในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ ที่ทำให้จีนปรับยุทธศาสตร์ฟิลิปปินส์ไปในทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ความรุนแรงในทะเลจีนใต้ลดลงไปทันที ทำให้ดุลอำนาจของสหรัฐในภูมิภาคนี้ อาจจะไม่มั่นคงเสียแล้ว? ประกอบกับปีที่ผ่านมาฟิลิปปินส์เป็นผู้ที่มีบทบาทในเวทีใหญ่ของโลกอย่างเอเปค จึงทำให้ฟิลิปปินส์ใช้เวทีนี้เปิดโต๊ะเจรจากับหลายประเทศในระดับทวิภาคีมากขึ้น และผู้นำคนใหม่ของฟิลิปปินส์ก็ทำได้ดี
ที่ว่าสิ่งที่คิดว่าจะเปลี่ยน กลับไม่เปลี่ยนอย่างที่คิด คือ กรณีแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป(อียู)ของสหราชอาณาจักร จากปีกว่าที่ผ่านมาของการประกาศแยกตัวโดยนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ตามผลประชามติ แต่ดูเหมือนว่า ในปีที่ผ่านมา ท่าทีของประชาชนในสหภาพยุโรปหรือแม้แต่ในอังกฤษเอง กลับมีความคิดที่เปลี่ยนไป สะท้อนมาในรัฐบาลเมย์ ที่ไม่มั่นคงเหมือนอย่างเคย?
สำหรับผลการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็สะท้อนมาในภาพเศรษฐกิจ โดยการเปลี่ยนแปลงในอียูหลายประเทศ อย่างฝรั่งเศสที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นนายมาครงนั้น ทิศทางความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจฝรั่งเศสมีท่าทีขยายตัวเพิ่มขึ้น สังเกตได้จากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ปีนี้ที่ขยายตัว 0.5% และคาดการณ์ว่าตลอดปี 2560 จีดีพีฝรั่งเศสจะขยายตัวที่ 1.8% แม้จะไม่มาก แต่ก็ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2559 ที่ขยายตัวเพียง 0.2% เท่านั้น ตลอดปี 2559 ก็ขยายตัวเพียง 1.1% ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งหมดนี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่า มาจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจภายใต้การนำของนาย มาครง ประธานาธิบดีคนใหม่ของฝรั่งเศส
ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ไม่น่าเชื่ออีกจุดหนึ่ง มาจากเรื่องเศรษฐกิจเช่นกัน แม้เป็นประเทศเล็กๆอย่างซิมบับเวก็คือ การลาออกของประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ ที่ครองตำแหน่งยาวนานกว่า37 ปี จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงนี้ เริ่มจากกระแสความนิยมตัวนายมูกาเบที่ลดลงมาก แต่จุดหลักคือภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ลดต่ำลง แม้ก่อนหน้านี้มีข่าวทำนองว่า บุคคลใกล้ชิดมูกาเบเป็นอาชญากรที่อันตรายต่อประชาชน หรือมีเรื่องทุจริตต่างๆ ก็ตามจนมูกาเบเตรียมผลักดันภรรยาของเขาเป็นทายาทการเมือง สืบทอดตำแหน่งต่อ แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจกดดันหนัก ทำให้กระแสประชาชนที่สนับสนุนมูกาเบลดต่ำลงมากเช่นกัน สุดท้ายทหารจึงทำรัฐประหารได้ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่หลายฝ่ายก็ยังมองว่า แท้จริงแล้วซิมบับเวเปลี่ยนแค่ผู้นำ แต่ระบอบการปกครองยังเป็นเช่นเดิม ใช่หรือไม่? ปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิด ในระยะยาวจึงอาจไม่ได้รับการแก้ไขและอาจกลับสู่วังวนเดิมอีกครั้ง แต่อย่างน้อยเหตุการณ์ครั้งนี้ก็พอสะท้อนให้เห็นความต้องการเปลี่ยนแปลงของประชาชนซิมบับเวแล้ว
การเปลี่ยนแปลงในซีกโลกต่างๆ ตลอดปีค.ศ.2017จึงพอเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังของประชาชนส่วนใหญ่ ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูป สิ่งใหม่ๆจากคนรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่ได้ยึดติดกับกรอบเดิมๆ อีกต่อไป ผนวกกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่เป็นแรงขับภายใน ปีนี้จึงนับได้ว่า เป็นปีทองของคนรุ่นใหม่ที่มีพลังและมีความสามารถที่กล้าคิดต่าง
ประเทศไทยในปีนี้ก็กำลังเผชิญความท้าทายแห่งการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ความคิดของคนรุ่นใหม่ที่แตกต่าง เริ่มแสดงให้เห็นมากขึ้น ขณะที่ผู้บริหารประเทศอย่าง ครม.พล.อ.ประยุทธ์ตั้งมานั้น ยังคงเต็มไปด้วยคนรุ่นเก่ามากกว่าครึ่ง ความท้าทายนี้ยังผนวกด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจระดับฐานรากอย่างรุนแรงของประเทศไม่นานนี้
ซึ่งจะกลายเป็นจุดท้าทายความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าว่า ใครจะเป็นผู้เริ่มการเปลี่ยนแปลงก่อน ระหว่างรัฐบาลตัดสินใจเปลี่ยนหรือประชาชนจะเป็นคนเริ่มเอง ซึ่งจะ
ได้กล่าวต่อไป
.................................................
“ผู้คนมักมีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งเป็นดีงาม ด้านหนึ่งเป็นชั่วร้าย มีบ้างบางคนสามารถรักษาความดีไว้ตลอดมา”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี