อังกฤษ คือประเทศแรกในยุคสมัยใหม่ ที่พัฒนาระบอบการปกครองแบบรัฐสภาได้สำเร็จ และมีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมระบอบดังกล่าวในอาณานิคม เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย แต่รูปแบบการเมืองการปกครองอังกฤษก็ยากสำหรับชนชาติอื่นที่ไม่มีเชื้อสายแอลโกลแซกซอน ที่จะเลียนแบบได้
อย่างไรก็ตาม วิวัฒนาการของระบอบรัฐสภาอังกฤษ ก็มิได้ดำเนินมาด้วยความราบรื่นเสมอไป และใช้เวลาเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่มหากฎบัตร(Magna Carta) ค.ศ.1215 จนกระทั่งการปฏิวัติที่รุ่งโรจน์ ค.ศ. 1688-1689 เป็นเวลา 473 ปี จึงสามารถประดิษฐานระบบรัฐสภาได้สำเร็จ และในระหว่างทาง ยังเกิดการขัดแย้ง การต่อสู้ระหว่างฝ่ายกษัตริย์กับฝ่ายขุนนางเป็นระยะๆ ที่สำคัญคือ สงครามสมัยราชวงศ์สจ๊วตซึ่งถือเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายกษัตริย์ (พระเจ้าชาร์ล ที่ 1) กับฝ่ายรัฐสภา ที่นำโดยโอลิเวอร์ครอมเวล (Cromwell) ช่วง ค.ศ. 1642-1648
ฉะนั้น เส้นทางของวิวัฒนาการระบบการเมืองก็มิได้ราบรื่นเสมอไปแต่สังคมอังกฤษจากจุดเริ่มต้น มีต้นทุนแตกต่างจากสังคมตะวันออก เช่น ประเทศไทย โดยเฉพาะจุดเริ่มต้น ระบบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของอังกฤษ ก็ยังแตกต่างจากพระมหากษัตริย์ของสยาม รวมทั้ง ระบบฟิวดัล(ศักดินา) ของอังกฤษ ก็แตกต่างจากระบบศักดินาของไทย
ในระบบศักดินาฝรั่ง ขุนนาง ซึ่งนอกจากมียศศักดิ์และที่ดิน รวมทั้งอำนาจการปกครองในท้องถิ่นแล้ว ตำแหน่งของขุนนาง เช่นดยุค (Duke) เคานต์ (Count) มาร์ควิส (Marquis) เป็นฐานันดรที่สืบมรดกทางสายเลือด ทำให้ชนชั้นขุนนางมีความเป็นปึกแผ่น และมีอำนาจต่อรอง ส่วนกษัตริย์ ในฐานะทรงเป็น“ลอร์ด”(Lord) เหนือขุนนาง/และชนชั้นอัศวินก็จริง แต่จะต้องทรงรักษาขนบธรรมเนียมหลายประการในการปกครอง เช่น จะเก็บภาษีเพิ่มเติม หรือภาษีใหม่ๆ ที่ไม่เคยเก็บ ก็จะพบกับการต่อต้านของขุนนาง ดังที่พระเจ้าจอห์น ต้องเผชิญที่ทุ่งรันนีมีด(Runnymede) ค.ศ. 1215 และต้องลงนามในมหากฎบัตร (Magna Carta) ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอังกฤษ ที่กษัตริย์อังกฤษต่อไปจะต้องเรียกประชุมสภาขุนนาง หากจะเก็บภาษีเพิ่มเติมจากที่เคยเก็บ นอกจากนั้น ยังจะต้องผดุงไว้ซึ่งเสรีภาพขององค์การศาสนา ที่จะเลือกพระราชาคณะของตนเอง ตลอดจนเสรีภาพของประชาชนที่จะถูกจับกุมคุมขังมิได้ ยกเว้นโดยกระบวนการทางกฎหมาย และการตัดสินของคณะลูกขุน
ข้อสุดท้ายนี้ ก็คือ จุดเริ่มต้นของหลักการของระบบนิติธรรมรัฐ ที่จะขยายขอบเขตไปถึงกระบวนการตัดสินคดีความ ที่ต้องยึดโยงกับหลักการที่เป็นที่ยอมรับกันมาแล้วแต่ในอดีต
อย่างไรก็ตาม การขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง มิได้จบลงง่ายๆ ภายหลังข้อตกลงที่รันนีมีด แต่ยังคงสืบเนื่องต่อไป จนกระทั่งเกิดการขัดแย้งและต่อสู้ในสมรภูมิระหว่างสองฝ่ายช่วง ค.ศ. 1258-1265 ผลการขัดแย้งครั้งนี้คือ ได้เพิ่มบทบาทของชนชั้นอัศวิน(ผู้ดีชนบท) และชนชั้นกลางจากเมืองที่จะส่งผู้แทนมาร่วมประชุมในสภาขุนนาง-พระ และในอนาคต จะวิวัฒนาการไปเป็นสภาขุนนาง และ สภาผู้แทนราษฎร (หรือสภาสามัญชน)
นอกจากนั้น อำนาจและบทบาทรัฐสภาดังกล่าว ก็จะขยายขอบเขตไปตามกาลเวลา จากอำนาจอนุมัติเงิน (งบประมาณ) ก็จะรวมไปถึงอำนาจการให้ความเห็นชอบพระราชบัญญัติต่างๆ และต่อมาในศตวรรษที่ 16 เมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ทรงปรารถนาจะปฏิรูปศาสนา แยกตัวจากองค์สันตะปาปาที่กรุงโรม ก็ทรงพึ่งแรงสนับสนุนจากรัฐสภา เพื่อออกมาตรการปฏิรูป ทำให้รัฐสภามีบทบาทเด่นขึ้น
ความเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ ในครึ่งหลังศตวรรษที่ 16 ส่งเสริมให้เกิดกลุ่มคนรุ่นใหม่เรียกว่า “โปรเตสแตนต์” ซึ่งมีศรัทธาเชื่อถือตรงกันข้ามกับนิกายโรมันคาทอลิก และภายในลัทธิโปรเตสแตนต์ ยังมีความแตกต่างระหว่างกลุ่มนิกายลูเธอร์และกลุ่มที่เชื่อถือลัทธิคาลแวง(Calvin) และกลุ่มหลังนี้ คือ กลุ่มที่เรียกว่าเพียวริตัน(Puritans) อาจเรียกว่ากลุ่มซ้ายในลัทธิศาสนา ซึ่งต่อต้านทั้งระบบสมณศักดิ์ของพระ รวมถึงสันตะปาปาที่กรุงโรม อีกทั้งเชื่อในหลักของ“ผู้ถูกเลือก”(the Elect) โดยพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมักจะมีคุณสมบัติหรือลักษณะพิเศษ เช่น เรื่องศีลธรรม ความขยันขันแข็ง มัธยัสถ์อดออม กลุ่มเพียวริตันจึงจัดเป็นแนวหน้าทั้งทางลัทธิศาสนาและการต่อสู้ทางการเมืองกับพระเจ้าชาร์ลที่ 1 ในสงครามกลางเมือง ช่วง ค.ศ. 1642-1648 ตลอดจนการจัดตั้งสาธารณรัฐสมัยครอมเวล (ค.ศ. 1648-1660) และการบั่นพระเศียรพระเจ้าชาร์ลที่ 1
อย่างไรก็ตาม การปกครองโดยระบบคุณธรรม และโดยกลุ่มผู้เคร่งลัทธิศาสนาที่ครอมเวลจัดตั้ง ก็ไม่ประสบผลสำเร็จดังที่คาดหวัง และภายหลังที่ครอมเวลมรณภาพ สาธารณรัฐก็ดำรงอยู่เพียง 2 ปี อดีตสมาชิกรัฐสภาทั้งหลายก็เรียกร้องให้กลับไปสู่ระบบเก่า-ระบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงอัญเชิญพระโอรสของพระเจ้าชาร์ลที่ 1 ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าชาร์ลที่ 2
พระเจ้าชาร์ลที่ 2 ทรงเป็นกษัตริย์เจ้าสำราญ ฉะนั้นก็ไม่เคร่งครัดหรือดื้อดึงกับปัญหาที่เป็นประเด็นขัดแย้งในสมัยนั้นมากนัก แต่ปัญหาเกิดจากพระอนุชา ดยุค ออฟ ยอร์ค ซึ่งทรงศรัทธาในลัทธิโรมันคาทอลิก ที่ชาวอังกฤษส่วนใหญ่เริ่มต่อต้านมาตั้งแต่สมัยพระนางเจ้าเอลิซาเบ็ธ ศตวรรษก่อน ฉะนั้น สมาชิกรัฐสภาที่ได้รับขนานนามว่า “วิกส์”(Whigs) (รัฐสภานิยม) ซึ่งนับถือลัทธิแองกลิคัน (หรือโปรเตสแตนต์แบบอังกฤษ) จึงพากันต่อต้านพระอนุชา ซึ่งในอนาคตจะขึ้นครองราชย์สืบต่อ
อย่างไรก็ตาม ช่วงสุดท้ายที่พระเจ้าชาร์ลครองราชย์ กลุ่มที่คุมบังเหียนรัฐบาล เป็นกลุ่มทอรีที่ไม่ต่อต้านดยุค ออฟ ยอร์ค ให้ขึ้นครองราชย์ด้วยเหตุผลของการนับถือศาสนา แต่เมื่อ ดยุค ออฟ ยอร์ค ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ค.ศ.1685 พระองค์ก็ทรงดึงดันจะช่วยเหลือชาวคาทอลิกให้สามารถมีตำแหน่งในราชการได้ ซึ่งตามพระราชบัญญัติทดสอบ(ความศรัทธา) กลุ่มคาทอลิก กลุ่มโปรเตสแตนต์ซ้ายจัด ถูกกีดกันอยู่แล้ว พระเจ้าเจมส์จึงทรงเสนอให้ยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับนี้ ทำให้ทั้งกลุ่มวิกส์ และกลุ่มทอรี่ ในรัฐสภาต่อต้านพระองค์ นอกจากนั้น ยังทรงใช้อำนาจที่จะยกเว้นกฎหมายสำหรับรายบุคคล ซึ่งขัดกับ “Rule of Law” (นิติธรรมรัฐ) ที่ชาวอังกฤษเชื่อถือมาแต่โบราณ
ด้วยเหตุนี้ ทั้งพรรควิกส์และทอรี่ จึงรวมตัวกันประชุมลับเพื่อทำการปฏิวัติยึดอำนาจ ค.ศ.1688 และอัญเชิญพระเจ้าวิลเลียม จากเนเธอร์แลนด์ ผู้เป็นพระสวามีของพระนางแมรี่พระราชธิดาพระเจ้าเจมส์ ให้ขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ และด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งขุนนางมีอำนาจค่อนข้างจะเกือบสมบูรณ์แบบ
การยึดอำนาจครั้งนี้ จึงเรียกว่า การปฏิวัติที่รุ่งโรจน์ ค.ศ.1688-1689 และเป็นการเปิดศักราชใหม่สู่ระบบรัฐสภาที่แท้จริง ตลอดจนเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยในอนาคต ส่วนพระราชบัญญัติที่เป็นองค์ประกอบของรัฐธรรมนูญ จากผลการปฏิวัติครั้งนี้ จะได้กล่าวสรุปในบทความต่อไป
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี