ปกติเวลาคนพูดกันเรื่องการแข่งขัน มักจะหมายถึง การแข่งขันเพื่อให้ได้ผลที่ดีขึ้น เช่น สูงขึ้น เร็วขึ้น ไกลขึ้นหรือมากขึ้น ส่วนการแข่งขันเพื่อให้ต่ำสุด ลึกสุดนั้นมักไม่ค่อยมี ยกเว้นก็แต่พวกการดำน้ำ
และในการแข่งขันกันทางการเมืองโดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตย ก็มักเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคหรือระหว่างตัวบุคคล เพื่อให้ได้คะแนนนิยมมากที่สุด หรือไม่ก็ให้อยู่ในลำดับต้นๆ เพื่อที่จะได้รับตำแหน่งหรือมีที่นั่ง โดยเฉพาะในรัฐสภาหรือรัฐบาล
ส่วนด้านการเมืองระหว่างประเทศนั้น มักแข่งขันกันว่า ประเทศใดมีความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยกว่ากัน โดยไม่ค่อยมีประเทศใดอยากได้รับการยกย่องว่า มีความเป็นเผด็จการหรือมีลัทธิอำนาจนิยมมากกว่าประเทศอื่น ซึ่งการประเมิน ชี้วัด จัดลำดับ มักจะดำเนินการโดยสำนักงานประเมิน องค์กรประเมินระหว่างประเทศหรือหน่วยงานของประเทศหนึ่งใด เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการจัดทำความสัมพันธ์กับประเทศที่ถูกประเมินนั้นๆ
นอกจากนั้น แวดวงวิชาการของประเทศหนึ่งใดหรือระหว่างประเทศ ก็มักจัดประชุมว่าด้วยสถานะของประชาธิปไตยทั้งความก้าวหน้าและถดถอย เพื่อประเมินวิเคราะห์สาเหตุและลู่ทางแก้ไข
โดยล่าสุดได้มีการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการจัดโดย สถาบันทิฟ่า (TIFA - แปลว่าฆ้อง หรือกลอง) ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นองค์กรมิใช่รัฐ ที่สนใจเรื่องประชาธิปไตย และได้รับการสนับสนุนโดยอีกองค์กรที่มิใช่รัฐ ชื่อว่า Open Society (สังคมเปิดกว้าง) ซึ่งจัดตั้งโดยนักธุรกิจค้าเงินระดับโลกคือ นายจอร์จ โซรอส (George Soros) ผู้ที่คนไทยและชาวโลกรู้จักกันดีว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ซึ่งเขาได้ทำกำไรมหาศาลจากการเก็งกำไรเงินตราในเวลานั้น และอาจจะเกิดสำนึกบาปขึ้นมา ก็เลยแบ่งกำไรส่วนหนึ่งมาใช้ในกิจการต่างๆ เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยให้กับโลก
การประชุมสัมมนานี้มีหัวข้อว่า Race to the Bottom : Democracy in Asean Countries - การแข่งขันกันลงสู่ก้นเหว : ประชาธิปไตยในหมู่ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน
โดยผมเองได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมสัมมนาและได้รับเกียรติให้เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์หลัก (Keynote Address) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ผมได้อารัมภบทเช่นเดียวกับต้นบทความนี้ที่ว่า การแข่งขันโดยทั่วไปมักจะเป็นการแข่งขันเพื่อไปให้ถึงยอด (To the Top) แต่การแข่งขันเพื่อลงก้นบึ้งของความลงเหวลึกนั้น มันมักไม่ค่อยจะมีกัน
แต่กรณีการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศประชาคมอาเซียนนั้น ผมเห็นว่าประเทศที่ยังอยู่ก้นบึ้งความมืดมนของระบอบเผด็จการและลัทธิอิทธิพลแล้วนั้นคือ ประเทศบรูไน ด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประเทศเวียดนามกับระบอบพรรคคอมมิวนิสต์พรรคเดียว เช่นเดียวกันกับประเทศลาว
ส่วนประเทศที่กำลังปักหัวดิ่งลงก้นเหวอย่างรวดเร็วก็คือ กัมพูชาของท่านเผด็จการเสียงข้างมาก สมเด็จฮุนเซ็น
และที่กำลังแข่งพุ่งหลาวลงเหวตามหลังมาอย่างมุ่งมั่นเมามันคือ รัฐบาลทหารไทย รัฐบาลผสมทหารพลเรือนพม่าและรัฐบาลผู้นำเป็นใหญ่ (Autocrat) ของดูเตร์เต แห่งฟิลิปปินส์ และที่น่ากลัวว่าจะเป็นปัญหาแก่ภูมิภาคในอนาคตคือ มาเลเซีย ซึ่งฝ่ายการเมืองอิงชาติพันธุ์และศาสนาเริ่มเข้มแข็งมากขึ้นทุกวัน
สำหรับสิงคโปร์นั้นครองที่กับพรรคเดียวผูกขาดอำนาจแต่โดดเดี่ยวด้วยคุณภาพบริหารจัดการแบบธรรมาภิบาล
ส่วนอินโดนีเซียถือว่าดูดีกว่าเพื่อนๆ เพราะยังประคับประคองสังคมประชาธิปไตยไว้ได้ แต่อย่างไรก็ดี อิสลามการเมือง - Political Islam ก็กำลังก่อตัวขึ้นเพื่อมุ่งแปรสภาพให้อินโดนีเซียกลับกลายเป็นรัฐอิสลาม ซึ่งหากจะมุ่งไปเป็นเช่นนั้น กองทัพอินโดนีเซียคงจะไม่ยินยอม และโอกาสที่ฝ่ายทหารจะตบเท้ากลับสู่เวทีการเมืองอีกรอบหนึ่ง ก็คงไม่นานเกินรอ
โดยรวมแล้วจึงจัดได้ว่า ประชาธิปไตยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือในประชาคมอาเซียนกำลังจะถดถอย สิทธิเสรีภาพถูกลิดรอนขึ้นเป็นลำดับ และหลายผู้นำกำลังถูกจีนค้ำจุนด้วยเงินตราและเชียร์ให้เป็นเผด็จการกันต่อไป จะได้เหมือนจีน และจีนก็จะได้ “ซื้อ” ง่ายขึ้น อาเซียนก็จะเกาะกันไม่ติด แถมจะแตกแยกอีกด้วย
สำหรับกรณีไทย ผมได้ขยายความไว้ว่า เนื่องจากประชาชนเหนื่อยหน่าย ผิดหวัง และถูกปลูกฝังทัศนคติให้รังเกียจฝ่ายการเมือง เลยหันมาเทใจให้แม่ทัพนายกอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายการเมืองไทยต้องหันกลับมาทบทวนและปฏิรูปตนเองอย่างใหญ่หลวง เพื่อดึงความน่าเชื่อถือและความนิยมชมชอบจากสังคมกลับมาให้ได้ มิฉะนั้น ฝ่ายกองทัพจะมีขบวนการสืบทอดอำนาจทางการเมืองต่อไป (ซึ่งปกติกองทัพก็ต้องการอยู่แล้ว) หากว่าสังคมเห็นชอบด้วย ก็เห็นทีจะบอกลาคำว่าสิทธิเสรีภาพไปได้เลย เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะไม่มีการสนับสนุนให้ประชาชนมีทักษะในการทำหน้าที่พลเมืองผ่านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่างๆ ของประเทศ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยที่มั่นคง และยั่งยืน โดยประชาชนจะเป็นเพียงแค่ผู้รับคำสั่งจากผู้นำไปเรื่อยๆ ในกรณีนี้ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของประชาชนที่รักหวงแหนประชาธิปไตย ในการที่จะต้องเพียรพยายามต่อสู้และขับเคลื่อนกันต่อไป
ประชาชนพลเมืองได้ต่อสู้เพื่อประเทศชาติเพื่อประชาธิปไตยกันมาหลายรอบ และการยอมรับรัฐบาลทหารก็เป็นครั้งคราวได้ แต่ในระยะยาวก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าสังคมที่ประชาชนพลเมืองมีสิทธิเสรีภาพ และสามารถทำการเป็นเจ้าของประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ
การปิดกั้น ขวางกั้นการเจริญเติบโตของประชาธิปไตยก็ทำได้ระยะหนึ่ง แต่ไม่มีมนุษย์ใดอยากอยู่แบบจำยอม แบบถูกขู่บังคับกดขี่ ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า ในทุกประเทศอาเซียนแม้ประชาชนพลเมืองจะตกอยู่ท่ามกลางสภาวะของอำนาจเผด็จการนิยม แต่ก็มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาว่าด้วย การได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ อีกทั้งก็มีการเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างกัน เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จะเป็นไปโดยภาคองค์กรที่มิใช่รัฐหรือภาคประชาสังคม หรือแม้กระทั่งระหว่างพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์เสรีนิยม
ฉะนั้น แม้บรรดาผู้นำเผด็จการในประเทศอาเซียนจะแข่งกันนำพาประเทศลงดิ่งสู่เหวลึกมืดมนของสิทธิเสรีภาพ แต่ประชาชนพลเมืองก็ยังไม่ลดละที่จะดึงประเทศสมาชิกและอาเซียนขึ้นสู่ยอดเขาประชาธิปไตย ถือว่าการต่อสู้ยังไม่แล้วเสร็จ และต้องเพียรพยายามต่อไปไม่ลดละ ไม่ย่นย่อท้อถอย
ประชาคมอาเซียนก้าวหน้าไม่ได้ ถ้าขาดประชาธิปไตย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี