นับถอยหลังสัปดาห์สุดท้ายปี 2017 ปีของความเปลี่ยนแปลงการเมืองอย่างมากปีหนึ่ง นำไปสู่ยุคสมัยแห่งผู้นำการเมืองยุคใหม่ สะท้อนความต้องการการเปลี่ยนแปลงของประชาชนที่เกิดขึ้นทั่วโลกทั้งในยุโรปและเอเชีย ซึ่งอาจกลายเป็นกระแสนิยมต่อไป ขณะที่ด้านเศรษฐกิจก็เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ช่วงรอยต่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ ทั้งกลุ่มทุนใหม่เริ่มผลัดเปลี่ยนและนวัตกรรมเศรษฐกิจใหม่ๆเริ่มเข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา“บิทคอย”หรือนวัตกรรมการเงินใหม่ๆ ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดทางการเงิน เทคโนโลยีการสื่อสารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มียักษ์รายใหม่อย่างประเทศจีนเข้ามามีบทบาท ขณะที่ตลาดออนไลน์ของโลกขยายตัว จีนก็เข้ามามีบทบาทเบ็ดเสร็จมากขึ้นอย่างความสำเร็จของอาลีบาบาที่ทำหน้าที่เป็นตลาดจนถึงสถาบันการเงิน นวัตกรรมใหม่ทางเศรษฐกิจกำลังทำให้เทคโนโลยีมาแทนที่กำลังคน ขณะที่โลกกำลังก้าวหน้า ไทยเองพึ่งขยับไทยแลนด์ 4.0 อย่างช้าๆ ร่วมไปกับประกาศโครงการเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิตอลของรัฐบาลปัจจุบันที่ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรมเลย
ในปี 2017 ระบบเศรษฐกิจถูกเปลี่ยนแปลงสู่การค้าออนไลน์และการเงินดิจิตอลในสัดส่วนที่มากขึ้น อย่างกรณีบิทคอย สกุลเงินรูปแบบใหม่ที่ไม่ผูกติดกับประเทศหรือกลุ่มประเทศใดเลย สามารถผลัดเปลี่ยนอย่างไร้ขอบเขตจำกัด โลกเปลี่ยนจากใช้จ่ายเงินในท้องตลาดสู่การซื้อขายด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ จากเดิมธุรกรรมหลายอย่างต้องทำผ่านเงินสด ผ่านบุคคล ผ่านคนกลาง เปลี่ยนเป็นซื้อขายโดยตรงผ่านออนไลน์ ผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ จนทิศทางการค้าและธนาคารต้องปรับตัวมากในปีต่อไป
กิจกรรมเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ยังนำมาสู่การใช้เครื่องจักรและหุ่นยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จนสามารถทดแทนแรงงานทั้งภาคอุตสาหกรรมจนถึงภาคบริการแล้ว ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจจะนำมาสู่ผล 1.ทำให้ต้นทุนทางธุรกิจลดลงจากการลดจ้างแรงงาน ขณะที่ 2.อาจทำให้แรงงานบางส่วนต้องตกงาน ขณะที่แรงงานคุณภาพที่มีหน้าที่ควบคุมเครื่องจักรและระบบปฏิบัติการทางเทคโนโลยียังขาดแคลน ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลแต่ละประเทศต้องปรับตัว เพราะกลุ่มทุนหรือบรรษัทข้ามชาติกำลังปรับเปลี่ยนแนวทางหรือวางแผนเปลี่ยนแปลง เคลื่อนย้ายการผลิตไปสู่ประเทศที่มีความพร้อม รองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ ทั้งความพร้อมด้านทรัพยากรมนุษย์และเทคโนโลยี ประเทศที่รับผลกระทบคือกลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย
ซึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจจริงก็สอดคล้องกับรูปแบบที่เปลี่ยนไปของโลก โดยตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลง,ประเทศที่เคลื่อนตัวตามการเปลี่ยนแปลงหรือกำลังพัฒนา และประเทศที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ต่างแสดงให้เห็นชัดเจน จากการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2017 ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวสูงกว่า 3.5% มากกว่าปี 2016 โดยนับถึงตอนนี้เศรษฐกิจโลกขยายตัวที่ 3.6 % สูงกว่าเป้าที่คาดไว้ และในปี 2018 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพิ่มอยู่ที่ 3.7% ซึ่งภาพรวมของเศรษฐกิจโลกขณะนี้ถือว่า อยู่ในระดับที่พอขยายตัวได้เรื่อยๆ ขณะที่เศรษฐกิจของอาเซียนปีนี้คาดว่า จะขยายตัวราว 5.0% สูงกว่าเศรษฐกิจโลก สำหรับการพิจารณาเศรษฐกิจของโลกนั้นโดยมากพิจารณาแยกกันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา
สำหรับเศรษฐกิจโลกนั้น โดยมากแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือประเทศที่พัฒนาแล้วการเติบโตอยู่ที่ 2.2% และประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ 4.6% สำหรับประเทศไทยถูกจัดในกลุ่มไหนของโลก? ใช่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา กลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางและกำลังพัฒนาไปสู่ประเทศที่มีรายได้ระดับสูง?
ประเทศกลุ่มที่พัฒนาแล้วมีอัตราการเติบโตที่ตัวเลขไม่สูงก็จริง แต่เนื่องจากมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก ทำให้ในความเป็นจริงการเติบโตในอัตรา 2.2% ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง ตลอดจนวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกาช่วง 2-3 ปีก่อนหน้า อัตราบวกดังกล่าวจึงถือว่า อยู่ในระดับที่ดี
ขณะที่ประเทศเล็กๆทางเศรษฐกิจอย่างไทย จากที่IMF คาดการณ์ พบว่า จีดีพีปีนี้โตขึ้นที่ 3.7% และคาดว่าปี 2018 จะขยายตัว 3.5-4.0% เท่านั้น หากมองเผินๆและคล้อยตามที่ รมต.ด้านเศรษฐกิจบอกว่า 3.7% ดีแล้วเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก มันดีจริงหรือไม่? แล้วเรากำลังเทียบกับใคร? หากเทียบกับอัตราขยายตัวเฉลี่ยของโลก ก็ถือว่าดีกว่าเล็กน้อย แต่ความจริงที่ไม่ได้พูดคือ ถ้าเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน ซึ่งถือว่าไทยอยู่ต่ำใต้กระดานมากกว่า และถ้ายังไม่ชัดก็ให้ไปเทียบกับการเติบโตของกลุ่มประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงไทย ระบบเศรษฐกิจและกิจกรรมการค้าใกล้เคียงไทย ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และความได้เปรียบเสียเปรียบทางโลจิสติกส์ที่ใกล้เคียงไทย นั่นคือเศรษฐกิจกลุ่มประเทศในอาเซียน พบว่าอัตราขยายตัวเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่แทบทุกประเทศขยายตัวกว่า 5% นั่นทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีอัตราขยายตัวจีดีพีต่ำสุดในอาเซียน ไม่นับรวมสิงคโปร์ที่จัดเป็นประเทศพัฒนาแล้ว โดยเมียนมาเป็นประเทศที่มีจีดีพีขยายตัวมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในอาเซียนที่ 7.2% หลังจากเพิ่งเปิดประเทศไม่นาน อันดับ 2 คือ กัมพูชาและสปป.ลาวอยู่ที่ 6.9% อันดับ 3 ฟิลิปปินส์ 6.6% อันดับ 4 เวียดนาม 6.3% อันดับ 5 มาเลเซีย 5.4% อันดับ 6 อินโดนีเซีย 5.2%
จะมองประเทศไทยแบบที่พอใจในทุกวันนี้ หรือควรมองให้ลึกว่า เราอยู่ในกลุ่มใดของการเปลี่ยนแปลงของโลก? ก้าวหน้า,กำลังเปลี่ยน หรือถดถอย? เราควรยินดีกับประเทศไทยที่เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไม่น้อยหน้าประเทศอื่นๆ หรือควรหาทางแก้ไขสภาพเศรษฐกิจไทยให้ดียิ่งขึ้น? และยิ่งหากนำไปเปรียบเทียบกับประเทศที่มีขีดความสามารถการผลิตใกล้เคียงกันแล้ว คงเป็นเรื่องที่ต้องถามตัวเองอีกรอบว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในสภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง ซึ่งเป็นปัญหาทุกภาคส่วน โดยเฉพาะรัฐบาลควรต้องตระหนักอย่างเร่งด่วนแล้ว ใช่หรือไม่?
ลองตั้งสติดีๆ ก่อนจะพิจารณากันต่อว่า ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่างจีดีพีที่บอกกันว่าสำคัญนักหนานั้น ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนอะไรต่อคนไทยบ้าง? ตัวชี้วัดต่างๆกำลังส่งสัญญาณสำคัญอะไรบางอย่างใช่หรือไม่? ที่สำคัญหากมองลึกลงไป จีดีพีไทยก็สะท้อนความจริงหลายอย่าง ประการแรกคือการเติบโตของจีดีพี ไม่ได้มาจากกำลังซื้อภายในประเทศเลยใช่หรือไม่? แม้มีคนตั้งคำถามว่าโครงการที่สนับสนุนการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่ภาครัฐพยายามโหมกระตุ้นเศรษฐกิจ ไปอยู่เสียที่ใด? ทั้งมาตรการช็อปช่วยชาติ,โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนก็ตาม เอาเข้าจริงพบว่า สิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระยะสั้น แต่ไม่ได้มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจริงเลย ใช่หรือไม่?
ถามว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลมีการใช้เงินมหาศาลหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลที่ได้รับกลับมา คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่หว่านลงไปหรือไม่? เพราะระบบเศรษฐกิจพื้นฐาน เศรษฐกิจชนบท ราคาสินค้าการเกษตร รวมถึงความเป็นอยู่เกษตรกรดีขึ้นหรือติดลบจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้นกันแน่? หลายมาตรการที่ออกมาแก้ปัญหาพื้นฐานอย่างที่ควรจะเป็นได้จริงหรือ? การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ทำให้กำลังซื้อกระจายไปได้จริง หรือกระจุกอยู่ที่ร้านค้าไม่กี่ร้าน? ตรงกันข้ามกับมาตรการจากนโยบายที่ประสบความสำเร็จแล้วในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอดีต กลับไม่นำมาสานต่อ เพราะกลัวจะเหมือนกับนโยบายเก่าๆของพรรคการเมือง แต่ก็ไม่คิดนโยบายใหม่เพื่อมาแก้ปัญหาเดิมที่มีค้างอยู่
นอกจากนั้น ด้านการลงทุนภาคเอกชนไทยเอง ลองไปตรวจดูตัวเลขได้จากทั้งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ BOI และธนาคารพาณิชย์ต่างๆว่า เป็นอย่างไร?มีการลงทุนเพียงใด? แม้กระทั่งในอุตสาหกรรมเกษตรและเกษตรแปรรูปที่ถือเป็นจุดแข็งของไทย ก็กำลังประสบวิกฤติหนักโดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ยิ่งฟาร์มสุกรปีนี้ที่ถือว่าตกต่ำผิดปกติมาก ราคาตลาดยังคงที่ แต่ราคารับซื้อหน้าฟาร์มเกษตรกรกลับลดต่ำแบบดิ่งเหว ไม่ต่างกับสินค้าเกษตรอื่นๆที่ประสบปัญหาเช่นกัน คนรอดคือพ่อค้ารายใหญ่ คนตายคือเกษตรกร การนำเข้าส่งออกแม้มีการขยับตัวอยู่บ้าง แต่ก็มีแนวโน้มถดถอยลงต่อเนื่อง เป็นผลให้เม็ดเงินไม่ไหลเวียนเข้าสู่ประเทศ ส่งผลต่อกำลังซื้อและการลงทุนในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ใช่หรือไม่?
ดังนั้นจีดีพีที่บอกว่า 3.7% ดีแล้ว แท้จริงก็ยังต่ำกว่าประเทศระดับเดียวกันในอาเซียน แล้วยังจะแย่ลงไปอีกเมื่อพบว่า 3.7%นั้น มาจากการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคของประชาชนที่น้อยมาก เพราะมีเพียงการลงทุนภาครัฐเท่านั้นที่ใช้จ่ายอย่างมากในปีที่ผ่านมา ขณะที่แผนลงทุนในอีอีซีที่ชูโรงว่าเป็นผลงานเด่นของรัฐบาล แต่แท้จริงใครหลายคนมองว่า การลงทุนอย่างเร่งรีบดังกล่าว อาจเกิดข้อครหาว่ากฎหมายที่จะออกในการลงทุนอีอีซีนั้น อาจเอื้อให้ต่างชาติซื้อของในประเทศได้ถูก ใช่หรือไม่? ขณะที่การลงทุนทางอ้อมในนโยบายประชานิยมต่างๆ ที่โปรยเม็ดเงินลงมา ก็เป็นเพียงให้เศรษฐกิจอยู่ต่อได้เท่านั้น แต่ไม่สร้างความยั่งยืนกับประชาชน เพียงต่อลมหายใจให้รัฐบาลได้อีกระยะหนึ่งเท่านั้น
ขอให้จับตาสัญญาณทางเศรษฐกิจในปีหน้าว่ารัฐบาลจะเดินเกมใดต่อไปทั้งในส่วนของการสนับสนุนภาคเอกชนและดูแลประชาชน กับอีกขาหนึ่งคือการเก็บภาษีกับประชาชนในยุควิกฤติเช่นนี้รัฐบาลจะเลือกเก็บภาษีจากชนชั้นนำ หรือขูดรีดกับประชาชนมากกว่ากัน ก็ขอให้ดูใจรัฐบาลกันต่อไป.....
“ความจริงในโลกนี้ ยังมีคนดีอยู่ทุกหนแห่งเสมอ”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง เหยี่ยวเดือนเก้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี