คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 53/2560 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซีกการเมืองก็ปรองดองกันถล่มว่าทำให้เกิดความยุ่งยากในการดำเนินการเพื่อตรวจสอบสมาชิกพรรค และเป็นการดำเนินการเพื่อรีเซต ให้ทุกคนไม่มีพันธะทางการเมือง เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของคนบางกลุ่ม เท่านั้น
ก็ต้องดูกันชัด เอาตัวคำสั่ง คสช. ฉบับนี้ มาอธิบายเป็นข้อๆ ว่า คำสั่งดังกล่าว ใครจะต้องทำอะไร จะต้องอย่างไร และมีผลอย่างไรต่อการเมืองในช่วงระยะเวลา “เปลี่ยนผ่าน” ก่อนที่จะมี
การเลือกตั้งทั่วไป ที่คนไทยส่วนใหญ่คาดว่า จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 หรือเกือบ 1 ปีข้างหน้า ซึ่งหากจะเปรียบก็จะคงเปรียบเป็น “โรดแมปย่อย” ที่ประกอบกับ “โรดแมปใหญ่”ที่ทาง คสช. ได้วางเอาไว้ให้ไปสู่การเลือกตั้ง จนได้รัฐบาลที่จะมีหน้าที่ “รับไม้ต่อ” จาก คสช. ต่อไป
1) มีการแก้ไขเนื้อหาในส่วนของงานธุรการของพรรคการเมือง จากเดิมที่ผูกติดกับ “วันถัดจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา” คือวันที่ 8 ตุลาคม 2560 ซึ่งหากดำเนินการตามขั้นตอนในกฎหมายแล้ว เชื่อว่าไม่มีทางทำได้ทันแน่ดังนั้นคำสั่งนี้จึงกำหนดให้ “วันที่ 1 เมษายน 2561” เป็นวันเริ่มต้นของการดำเนินการในเรื่องต่างๆ เช่น การดำเนินการเพื่อยืนยันเป็นสมาชิกพรรคภายใน 30 วัน (คือตั้งแต่ 1-30 เมษายน 2561) จัดให้มีทุนประเดิมจำนวนหนึ่งล้านบาท ภายใน 180 วัน(1 เมษายน-27 กันยายน 2561) การชำระเงินบำรุงพรรคของสมาชิก เป็นต้น
2) ในส่วนของการตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพื่อที่จะลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งต่อไปนั้น ก็ได้มีการกำหนดให้วันที่“1 มีนาคม 2561” เป็นวันเริ่มต้นของคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ที่ต้องการจะปฏิรูปประเทศไทย สามารถเตรียมการประชุมเพื่อยื่นคำขอจัดตั้งพรรคการเมืองได้ แต่ว่า ใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 10 ระบุว่า “ก่อนยื่นคําขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 250 คน จะต้องประชุมกันเพื่อ กําหนดชื่อ ภาพเครื่องหมายของพรรคการเมือง คําประกาศอุดมการณ์ นโยบายของพรรคการเมือง ข้อบังคับ และเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดแรก”แต่เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ประกาศ คสช. ที่ 57/2557 และคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ทำให้ต้องมีการกำกับเข้าไปด้วยว่า การจะประชุมเพื่อยื่นคำขอจดทะเบียนพรรค จะต้องได้รับอนุญาตและให้ดำเนินกิจกรรมได้เท่าที่ได้รับอนุญาตหรือตามเงื่อนไขที่ คสช. กำหนด ซึ่งอาจจะมีคำสั่งเฉพาะในกรณีนี้ตามมาภายหลัง
3) หากใครที่ต้องการยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นก็จะต้องดูว่า ตัวเองขาดคุณสมบัติตามมาตรา 24 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง หรือไม่ ซึ่งมาตราดังกล่าว มีใจความสำคัญว่า “สมาชิกต้องมีคุณสมบัติคือมีสัญชาติไทยโดยการเกิด อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง” ซึ่งตรงนี้คนที่เคยเป็นสมาชิกและต้องการดำรงสถานะของตัวเองต่อไปนั้น จะต้องเช็คตัวเองว่า ได้มีการกระทำหรือเกิดเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องพ้นสมาชิกภาพไปหรือไม่และพร้อมที่จะดำเนินการในการชำระเงินบำรุงพรรคด้วย ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนั้น จะต้องทำในเดือนเมษายน 2561 ซึ่งหากพ้นกำหนดไปแล้ว สมาชิกผู้ใดมิได้มีหนังสือแจ้งยืนยันการเป็นสมาชิก ให้เป็นอันพ้นจากสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น
4) เรื่องสำคัญที่พรรคการเมืองไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือพรรคที่จะตั้งขึ้นใหม่ นั้นก็คือ การจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับและจัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองและนโยบายของพรรคการเมืองให้ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.ป. ดังกล่าว และเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ตามข้อบังคับของพรรคการเมือง ที่แก้ไขใหม่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในกฎหมายเดิมเขียนไว้ว่า จะต้องทำใน 180 วัน นับตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะตกอยู่ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2561 แต่ในคำสั่งนี้ ระบุเอาไว้ว่า จะต้องทำภายใน 90 วัน นับแต่วันที่มีการยกเลิกประกาศ คสช. ที่ 57/2557 และ คำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ซึ่งถือเป็นการกำหนดกรอบเวลา ที่ต้องขึ้นอยู่กับว่า สภาพบ้านเมืองในช่วงนั้นจะมีบรรยากาศที่เอื้ออำนวยมากน้อยเพียงใด
5) ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปซึ่งแต่เดิมจะมีการทำ “ไพรมารีโหวต” เพื่อคัดสมาชิกของแต่ละพรรคในเขตพื้นที่นั้นๆ เพื่อเป็นตัวแทนในการสมัครรับเลือกตั้ง สส. แต่ คสช. เห็นว่า อาจจะมีบางพรรคหรือบางพื้นที่ที่ยังไม่มีความพร้อม จึงได้กำหนดเป็น “คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง” ซึ่งประกอบด้วย กรรมการบริหารพรรคการเมืองจำนวน 4 คน และหัวหน้าสาขาพรรคการเมือง และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด รวมกันทั้งหมด 7 คน เพื่อพิจารณาคัดเลือกผู้สมัคร ก่อนที่จะนำรูปแบบ “ไพรมารีโหวต” มาใช้อย่างเต็มตัวในการเลือกตั้งครั้งถัดต่อไปอีก 6) ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือนายทะเบียนพรรคการเมือง (ใน พ.ร.ป. กกต. คือ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง) มีอำนาจกำหนด โดยทำเป็นประกาศ ระเบียบ หรือคำสั่ง แล้วแต่กรณี เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนี้ และหากมีข้อสงสัย ให้หารือกับ กกต. หรือ คสช. แล้วแต่กรณี
7) ในข้อที่ 8 ของคำสั่งดังกล่าวยังกำหนดเงื่อนเวลาในการยกเลิกกฎหมาย ประกาศ คสช. หรือคำสั่งหัวหน้า คสช.ไว้ว่าสามารถดำเนินการได้หลังจากกฎหมายเลือกตั้ง สส.ที่ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช. ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา คือ มีผลบังคับใช้แล้ว โดยกำหนดให้คณะรัฐมนตรีแจ้งกับ คสช.เพื่อพิจารณายกเลิก และสามารถแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายอันเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการของพรรคการเมือง รวมไปถึงการจัดทำแผนและขั้นตอนการดำเนินการของการเมือง
ซึ่งจาก 7 ข้อที่กล่าวมานี้ คงจะเห็นภาพกว้างๆ ได้ว่า ช่วงต้นปี 2561 ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความ “วุ่นวาย” ที่หลายๆ ฝ่ายในแวดวงการเมืองจะต้องปฏิบัติ
โดย “เสธ.เล็ก-พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์” ทีมโฆษก คสช. ได้พูดสรุปคำสั่งนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “สาระสำคัญ ระบุถึงการผ่อนคลายการดำเนินกิจกรรม ให้พรรคการเมือง ทั้งพรรคเดิมและพรรคที่จะจัดตั้งใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ(1.) ตั้งแต่วันที่ออกคำสั่งฉบับนี้ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2561(2.) ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 ถึงวันที่ 1 เมษายน 2561 (3.) ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 จะเป็นการปลดล็อกใหญ่ และ (4.) การปลดล็อก ด้วยการยกเลิกคำสั่งและประกาศ คสช.ฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งโดยเสรี
ทั้งนี้ แม้จะมีหลายกลุ่มบุคคล ออกมาแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง แต่เจตนาของ คสช. คือ ต้องการให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วม ในกระบวนการอย่างแท้จริง ทั้งในการแสดงตัวตนแสดงการบริจาคเงินให้ชัดเจน ในเมื่อนักการเมืองต้องการจะช่วยปฏิรูปประชาธิปไตยทำให้เกิดความโปร่งใสจริงก็น่าจะยอมรับได้ หากอ้างว่าทำให้เกิดความยุ่งยาก อาจจะทำให้สังคมผิดหวัง
ดังนั้น เวลานี้ คสช. ได้วาง “โรดแมปย่อย” เพื่อให้ “พรรคการเมือง” ซึ่งถือเป็น “ตัวกลาง” ระหว่างประชาชน กับรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย ได้ทำหน้าที่ในการปรับปรุง แก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ “ประชาชน” ผู้ที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริง ซึ่งก็ควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า พรรคการเมืองได้ทำหน้าที่สมกับเป็นตัวแทนที่ประชาชนภาคภูมิใจ เพื่อที่จะได้ไปสู่ “โรดแมปใหญ่” ที่ทุกคนในประเทศวางเป้าหมายว่า จะมีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และมีรัฐบาลที่ธรรมาภิบาล แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “พรรคการเมือง” ว่าจะเอาใจใส่ “โรดแมปย่อย” นี้มากน้อยขนาดไหนด้วย
บทความนี้วิเคราะห์และเรียบเรียงโดย นฤนาท ยอดอาจ ผู้สื่อข่าวแนวหน้าประจำรัฐสภา ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี