ช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ว่าผมเดินทางไปไหนทั้งในและนอกประเทศ เมื่อพบชาวต่างชาติ ก็มักเจอคำถามในทำนองเดียวกันว่า เมื่อไหร่เมืองไทยถึงจะมีการเลือกตั้ง หรือเมื่อใดจะกลับคืนสู่สังคมประชาธิปไตย
คำถามเหล่านี้สะท้อนความคาดหวัง และความเข้าใจของชาวโลกว่าเมืองไทยจะยังเป็นสังคมประชาธิปไตยต่อไป เพราะว่า คนไทยต่างได้เคยสัมผัสเสรีภาพ และคุ้นเคยกับการอยู่กับระบอบประชาธิปไตยมามากโขพอควร
และผมมักตอบคำถามนั้นแบบทีเล่นทีจริงเชิงวิเคราะห์ว่า คนไทยทั่วไป ณ วันนี้ ยังไม่รู้สึกเร่งรีบที่จะกลับไปเป็นพลเมืองประชาธิปไตย นั่นก็เพราะยังพึงพอใจกับผู้นำนายทหารนามว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะมีอุปนิสัยใจคอที่ดูจะจริงจัง จริงใจ ในการนำพาบ้านเมืองให้รุดหน้า และสามารถทำให้บ้านเมืองสงบ มีเสถียรภาพ ขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นกับพฤติกรรมต่างๆ ของนักการเมืองอาชีพว่า หากรีบปล่อยให้กลับมามีอำนาจกันอีก จะเป็นสาเหตุให้บ้านเมืองสับสน วุ่นวายกันอีกรอบ เพราะบรรดาแกนนำต่างๆก็หน้าเดิมๆ นอกจากนั้น ประเด็นสำคัญคือ ประชาชนไทยยังไม่เห็นเลยว่า นักการเมืองมีการปรับปรุงตัวเองและพรรคของตนให้เป็นที่ประจักษ์ และมีความน่าชื่นชมศรัทธากันแต่อย่างใด ทุกอย่างก็ยังดูเหมือนๆ เดิม
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายกองทัพผู้เป็นคณะรัฐบาลได้เล็งเห็นว่า ชาวประชาไทยยังเอาด้วยกับฝ่ายตน ยังสนับสนุน ให้ใจ เทใจให้อยู่ เลยรู้สึกมั่นคงและสบายใจดี อีกทั้งแรงกดดันจากมิตรประเทศโดยเฉพาะฝ่ายตะวันตกที่เป็นหัวหอกประชาธิปไตยเต็มใบ ก็ไม่เข้มข้นเหมือนแต่ก่อน กล่าวคือมีการพูดจาข้องแวะด้วยเท่าที่จะกระทำได้ แต่ไม่ทำการตัดขาดสิ้นเชิงด้วยเหตุผลที่เป็นรัฐบาลเผด็จการทหาร สิ่งเหล่านี้เลยทำให้ฝ่ายรัฐบาลทหารของไทยเบาใจ รู้สึกว่าได้รับการยอมรับในระดับหนึ่ง เลยสามารถตีกรรเชียงไปได้เรื่อยๆ ด้วยวลีว่า พวกเรานั้นมีโรดแมป (Road Map) หรือเป้าหมายและเส้นทางในการคืนประชาธิปไตยให้พลเมืองไทยอยู่ในมือแล้ว
ดังนั้นเมื่อสถานการณ์เป็นใจจากที่ ไม่มีแรงกดดันจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ รวมทั้งฝ่ายการเมืองอาชีพก็ไม่ปรับปรุงตัวให้เป็นทางเลือกอย่างเข้มแข็ง จึงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ฝ่ายกองทัพสบายอกสบายใจ รู้สึกว่าสนามเปิดกว้างที่จะกำหนดการเคาะระฆังประชาธิปไตยได้แบบตามอำเภอใจ หรือเมื่อใดก็เมื่อนั้น
ทั้งๆ ที่จริง การคืนประชาธิปไตยให้กับปวงชนชาวไทยและสังคมไทย ก็มิได้ถือเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญแต่อย่างใด แต่ที่ฝ่ายกองทัพยังไม่อยากจะคืน ก็เพราะยังมีความสุขกับการใช้อำนาจบริหารอยู่นั่นเอง ไม่ได้เป็นเพราะเกรงว่าสภาพความขัดแย้งทางการเมืองแบบเดิมๆ จะกลับมา
รู้ๆ กันอยู่ว่า สถานการณ์ ณ วันนี้ และเงื่อนไขสังคมต่างๆ ณ วันนี้ มันไม่เหมือนช่วง 10 หรือ 15 ปีที่ผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแกนนำทางการเมือง หรือคู่กรณี ต่างก็มีคดีข้อหากันล้นมือ อีกทั้งก็มีการขัดแย้งแตกแยกภายในกันทุกกลุ่ม ชนิดที่เรียกว่า กลับมาเกาะกันไม่ติดอีก อีกทั้งฝ่ายสนับสนุนคือ บรรดากลุ่มแม่ยกพ่อยกทั้งหลาย ก็เริ่มแก่เฒ่าและอ่อนแรง อ่อนทุนทรัพย์กันไปมากโข ดังนั้นประเด็นที่จะยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างว่า จะกลับไปสู่วังวนความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ดูจะไม่หนักแน่นพอ
มันก็เลยไม่แปลกที่ว่า ทำไมชาวโลกถึงสงสัยการประวิงเวลาไปเรื่อยๆ ไม่ส่งคืนประชาธิปไตยให้ชาวไทยเสียที ซึ่งนอกจะเป็นคำมั่นสัญญาแรกแล้ว ก็ยังมีคำสัญญาต่อมาถึงภาพฝันการเมืองอันสวยหรู ที่จะปฏิรูปให้มีระบบการคัดกรองที่ดีขนาดจะกันมิให้นักการเมืองน้ำครำเข้ามาสู่แวดวงการเมืองได้ ซึ่งก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะมีหน้าตาอย่างไร หรือรู้ว่าไม่มีปัญญาสามารถทำได้ ก็เลยจะเปลี่ยนไปใช้วิธีที่ให้ทหารมานั่งเป็นผู้นำตลอดไป เพื่อคอยกำกับนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ
ดังนั้นประเด็นปัญหาที่ชาวบ้านเริ่มตระหนักก็คือ ทหารจะไม่เข้ามาแค่จัดโต๊ะประชาธิปไตยเสียใหม่ให้เรียบร้อย และส่งมอบต่อให้ประชาชน หากแต่ได้แสดงความประสงค์จะนั่งหัวโต๊ะ เพื่อร่วมโต๊ะต่อไปด้วยต่างหาก และเมื่อเวลาผ่านไป แม้จะอ้างว่าเพื่อช่วยประคองเสถียรภาพก็พออ้อมแอ้มได้ในตอนแรก แต่ในระยะยาว คงไม่สามารถปิดบังความทะเยอทะยานทางอำนาจการเมืองภายในได้แน่
ส่วนเรื่องประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนสำหรับประเทศไทยที่โฆษณาไว้แต่ตอนเริ่มเข้าสู่อำนาจ ซึ่งเมื่อดูอนาคตแล้ว คงจะไม่ได้ เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เนื่องจากทหารเข้ามามีตำแหน่งและบทบาททางการเมืองในระดับสูง แถมมีข้าราชการประจำเป็นฝ่ายสนับสนุนกองทัพ ซึ่งผิดหลักการประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
ดังนั้นหากประสงค์จะให้ฝ่ายบุคคลในเครื่องแบบมีบทบาททางการเมือง การบริหารประเทศต่อไป ก็ไม่จำเป็นต้องไปผูกโยงกับคำว่า “ประชาธิปไตย” หรืออย่าเอาคำว่าประชาธิปไตยมาอ้างเลย เนื่องจากมันเหมือนมาหลอกกันเล่นๆ (นัยหนึ่ง ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินก็คือ ผู้มีเครื่องแบบ ในขณะที่ประชาชนพลเมืองไม่ได้เป็นใหญ่ตามวิถีทางประชาธิปไตย)
เมื่ออยากอยู่ในอำนาจแล้วแต่งเครื่องแบบด้วย ก็เริ่มด้วยการไปหาคำเรียกสังคมการเมืองแบบนี้เสียใหม่ ก่อนจะก้าวไปเป็นเต็มตัว ก็ช่วยกรุณาเปิดโอกาสให้สังคมไทยได้อภิปรายถกเถียงกันเสียหน่อยว่า รูปแบบโครงสร้างสังคมการเมืองไทยแบบที่ผู้มีเครื่องแบบคอยกำกับ คอยใช้อำนาจทางการเมืองด้วยนั้น มีข้อดี ข้อเสียกับสังคมไทยอย่างไร เผื่อจะเห็นมุมมองอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์จากทุกฝ่าย
ผมเองเชื่อว่า หากจะคืนประชาธิปไตยให้ชาวไทย ก็ไม่น่าจะประคองกันไปไม่ได้ ในเมื่อวันนี้ประชาชนพลเมืองไทยเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น พร้อมเป็นผู้ร่วมในวิถีทางของบ้านเมืองอย่างมาก เพียงแต่อาจต้องการโอกาสในการฝึกฝนการกำกับดูแล รวมทั้งเครื่องมือตรวจสอบนักการเมืองที่ตนเลือกอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น ประชาธิปไตยไทยก็สามารถไปรอดแน่
แต่ที่ผ่านมาประชาธิปไตยไทยดูเหมือนกระท่อนกระแท่น ไปไม่ค่อยรอด นอกจากเป็นเพราะความเลวร้ายของบรรดานักการเมืองน้ำครำที่ร่วมมือกับกลุ่มทุนสามานย์กัดแทะประเทศแล้ว ก็ยังเป็นเพราะบรรดาพระเอกขี่ม้าขาวที่อาสาประชาชนลุกขึ้นมากวาดล้างคนเลวเหล่านั้น แต่พอเอาเข้าจริง ก็หันกลับไปจับมือกับกลุ่มทุนสามานย์ เสวยอำนาจผลประโยชน์เข้าพวกตน ไม่ต่างอะไรกับนักการเมืองจอมปลอมที่ตนเองกวาดล้างออกไป โดยระหว่างที่ครองอำนาจ ไม่ได้มีการปฏิรูประบบการเมืองอะไร ไม่ได้สร้างระบบคัดกรองอะไรให้กับการเมือง กลายเป็นเพียงวัฏจักรเก้าอี้ดนตรีผู้บริหารประเทศ ที่ประชาชนได้รับเพียงแต่การขายฝันถึงอนาคตที่ดีไปไปวันๆ
หากผู้มีอำนาจมีความจริงใจต่อประเทศ ต่อคนไทยดั่งปากพูดจริง ก็น่าจะสนับสนุนทุกกระบวนการที่จะทำให้ภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง ทั้งการให้ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการประชาธิปไตย การทำหน้าที่พลเมือง และสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของประเทศ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี