ในช่วงระหว่างปี 2560 ที่เพิ่งจะผ่านไป มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งเป็นที่ระทึกใจและทั้งเป็นที่ปีติยินดีระคนกันไป ซึ่งหากจะถามว่า แล้วเรื่องใดเป็นเรื่องสำคัญ หรือประเด็นอะไรบ้างที่โดดเด่น ก็เป็นธรรมดาที่ต่างคนต่างมีคำตอบ พร้อมด้วยเหตุผลแตกต่างกันไปมากมาย
แต่โดยภาพรวมในสายตาโลกแล้ว คงไม่พ้นไปจากคนชื่อ ทรัมป์ ปูติน สี จิ้น ผิง คิม จอง อึน เจ้าชายแฮรี่ หรือเจ้าชายซัลมาน และถ้าจะให้ระบุเป็นพื้นที่ ก็คงไม่พ้นตะวันออกกลาง ยุโรป เอเชีย ภาคพื้นมหาสมุทรแปซิฟิก หรือเอเชียคาบมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก และแอฟริกา ถ้าเป็นเรื่องราวก็คงไม่พ้นเรื่องความคิดอ่านและการกระทำแบบสุดๆ หรือสุดโต่ง (Radicalism / Extremism) เรื่องระบบทุนนิยมสามานย์ และเรื่องการถกเถียงว่าระหว่างการเมืองการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย กับระบอบเผด็จการพรรคเดียวแบบผู้นำนำพานั้น ระบอบไหนจะดีกว่ากัน
โดยในบทความนี้ ผมเองได้คัดเลือกเรื่องหรือเหตุการณ์สำคัญของปี 2560 ในมุมมองส่วนตัวออกมา รวมทั้งแง่มุมที่ว่าเหล่านั้น สะท้อนอะไร และจะส่งผลต่อเนื่องไปข้างหน้า สู่อนาคตอย่างไรบ้าง
ขอเริ่มต้นกันที่ตัวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีทั้งคำพูดและการกระทำแบบถึงลูกถึงคน ไม่มีลักษณะแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นหรืออยู่ในกรอบ (Politically Correct)เจือปน โดยในแง่การต่างประเทศก็มุ่งเอาจริงกับพวกสุดโต่งหัวรุนแรง รวมทั้งขบวนการก่อการร้ายทั้งผู้สนับสนุนและผู้ปฏิบัติ ขณะเดียวกันก็ประกาศกับบรรดาพันธมิตรทั้งหลายว่า สหรัฐอเมริการักษาคำมั่นสัญญาว่าด้วยการเป็นพันธมิตรร่วมกันป้องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัย แต่ทุกฝ่ายทุกประเทศก็ต้องออกแรง และออกเงินกันด้วย ไม่ว่าเป็นการเพิ่มขีดความสามารถหรือประสิทธิภาพการทหาร จะคิดพึ่ง“ใบบุญ” สหรัฐฯแบบฟรีๆเหมือนอดีตที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว และแม้สหรัฐฯจะปรับท่าทีเรื่องการค้าขายระหว่างประเทศ เช่น เจรจาเปิดเสรีการค้าแบบพหุภาคี มาสู่เจรจาแบบทวิภาคี แต่ถ้าพูดเรื่องแสนยานุภาพทางทหารแบบเป็นตำรวจโลกแล้ว สหรัฐฯก็ไม่คิดจะถอย และยังคงอยู่ต่อไปอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับ “คู่กรณี/คู่แข่ง/ผู้เห็นต่าง” อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังพร้อมจะใช้กรรมวิธีเจรจาหาทางออก หรือหาจุดร่วมมือด้วยอยู่ โดยจะไม่ยอมสยบต่อการคุกคามใดๆ
หันมองมาที่จีน ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิงเพิ่งได้รับการสถาปนาเป็นผู้นำสูงสุดในระดับเดียวกันกับเหมา เจ๋อ ตุง และเติ้ง เสี่ยว ผิง และมุ่งมั่นในการนำพาจีนไปสู่ความยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โลกก็คงต้องจับตาดูต่อไปว่า ความยิ่งใหญ่ภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง จะเป็นไปบนพื้นฐานของสันติภาพและความก้าวหน้าของมวลมนุษย์ หรือมุ่งทำให้โลกศิโรราบกันแน่ เพราะในระยะหลังๆมานั้น จีนเองมีท่าทีในระดับสากลว่า ฉันไม่ยินยอมอ่อนข้อให้กับใครทั้งสิ้น
ส่วนข่าวใหญ่ที่น่าสนใจในเชิงสันติและความรัก ก็คือข่าวการประกาศหมั้นของเจ้าชายแฮรี่ แห่งสหราชอาณาจักร กับสตรีอเมริกันลูกครึ่งผิวขาว-ดำ ซึ่งมีสถานะแม่ม่ายพ่วงมาด้วย โดยมีอาชีพนักแสดงร้องรำทำเพลง รวมทั้งยังต่างนิกายในศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นการสะท้อนการเปิดกว้าง และการยอมรับความต่างของราชวงศ์วินเซอร์ และของสังคมอังกฤษ (หรือสหราชอาณาจักร) โดยการข้ามการยึดมั่นถือมั่น การรังเกียจต่อความต่างที่เป็นขนบธรรมเนียมอันเคยยึดถือกันมา ซึ่งน่าจะเป็นข้อคิดและแบบอย่างให้กับทุกคนในโลกปัจจุบันนี้
นอกจากนั้นยังมีข่าวเกี่ยวกับเจ้าชายอีกพระองค์หนึ่ง คือเจ้าชายซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูป ปฏิวัติ เปลี่ยนรูปโฉมราชวงศ์และราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยวิธีจากข้างบนลงสู่ข้างล่าง (Top down) เพื่อให้ซาอุดีอาระเบียเริ่มต้นสู่สังคมที่ทันสมัย ที่รับความหลากหลายและความต่างโดยการบริหารราชการด้วยหลักความชอบธรรมและธรรมาภิบาล เป็นหลักทั่วไป
ข่าวใหญ่อีกข่าวคือ การพ่ายแพ้สิ้นสุดของขบวนการไอซิสในซีเรีย และในอิรักตอนเหนือ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การใช้ความรุนแรงแบบสงครามในรูปแบบนั้น ในระยะยาวแล้วไม่สามารถไปรอดได้ เพราะทั้งโลกเขาไม่เอาด้วยแน่นอน อีกทั้งความสุดโต่งทางด้านความเชื่อถือ หรือการตีความทางคำสั่งสอนของศาสนาแบบ “ข้าถูกต้องเพียงคนเดียว” นั้นก็ไปไม่รอดวงการศาสนา วงการผู้นำทางการเมือง ยังไงเขาก็ยึดทางสายกลาง และจะตีความจากแก่นแท้ของศาสนาอย่างจริงจังเท่านั้น มิใช่การตีความเพื่อใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสู่อำนาจปกครองผู้อื่นอย่างป่าเถื่อน ไร้ศีลธรรม
การใช้อำนาจกรณีของไอซิส,ปูตินแห่งรัสเซีย หรือแม้แต่ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิงของจีน ต่างสะท้อนให้โลกเห็นว่าไม่ว่ามีอำนาจจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่การใช้กำลังเพียงอย่างเดียวนั้นย่อมมีข้อจำกัด เนื่องจากชาวโลกเขาไม่เอาด้วยกับการกดขี่ และพร้อมจะต่อต้านด้วย โดยในที่สุด ฝ่ายประเทศที่เห็นต่างก็จะรวมตัวกันผนึกกำลังและต่อต้าน สะท้อนว่าการใช้อำนาจแบบไร้เหตุผล ไร้ขอบเขต หรือการใช้กำลังก็ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถไปถึงที่สุดได้ เพราะจะพบแรงเสียดทานมากมายมหาศาล ทวีขึ้นตามระยะเวลา ฉะนั้น การเจรจา การเปิดทางให้มีส่วนร่วมนั้นจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในสังคม
ส่วนความเป็นไปในแอฟริกา ที่ความเหลื่อมล้ำ ยากจน ได้ผลักดันให้เกิดการทะลักของผู้อพยพลี้ภัยไปยังภูมิภาคอื่นๆในโลก โดยสาเหตุสำคัญที่สุดก็คือ สภาวะความล้มเหลวของประเทศ (Failed State) และพฤติกรรมเลวร้ายของผู้นำประเทศ(Failed Government) ซึ่งเมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำสู่ความเป็นประชาธิปไตย การฟื้นฟู พัฒนาและความร่วมมือช่วยเหลือจากทั่วประเทศก็มีโอกาสจะสัมฤทธิผล ฉะนั้น การมีการเมืองที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยประเทศใดๆจะพัฒนาไม่ได้เลย หากการเมืองประเทศนั้นขาดธรรมาภิบาลและขาดเสถียรภาพ บทเรียนก็คือ การมุ่งแก้ไขที่ระบบให้เป็นประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนร่วมได้
เมื่อย้อนกลับมาประเทศไทยเรา ก็พอยืดอกพูดกันได้เต็มปากว่า การร่วมใจไว้อาลัย การเตรียมพิธีพระบรมศพ การถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 นั้น ได้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ สมพระเกียรติ ซึ่งการร่วมมือร่วมแรงที่สุดยอดเช่นนี้ของไทย (The best of Thailand) ก็ควรจะได้รับการนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่พลเมือง ที่จะช่วยกันธำรงไว้ซึ่งศีลธรรมอันดีในสังคม และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น และควรจะได้รับการรณรงค์ให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะรักษาเอาไว้ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันดีงามของชาวไทย และส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี