ความสงบสุขของสังคมคือสิ่งที่คนในประเทศชาติต่างปรารถนา แต่หลายต่อหลายครั้ง นิยามคำว่าความสงบสุขของคนแต่ละกลุ่มกลับไม่ตรงกัน เช่น ผู้มีอำนาจรัฐมักจะอ้างความสงบสุขว่า คือการที่ผู้คนในสังคมต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้ปกครองโดยเคร่งครัด ส่วนผู้ใต้ปกครองก็จะอ้างว่าความสงบสุขคือ การที่ประเทศชาติต้องไม่มีผู้ปกครองที่ลุแก่อำนาจ ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่สมาชิกทุกคน หรือส่วนใหญ่ของสังคม ต้องนิยามคำว่าความสงบสุขให้ตรงกันเสียก่อน
การปิดถนนประท้วง การยึดสนามบิน การก่อเหตุจลาจลบนท้องถนน และตามสถานที่ต่างๆ การบุกยึดทำเนียบรัฐบาล การปิดล้อมรัฐสภา หรือปิดล้อมที่ทำการของรัฐบาล การกระทำเหล่านี้ถือว่าเป็นการก่อความไม่สงบ ใช่หรือไม่ แล้วก็ต้องถามว่า การที่รัฐบาลใช้อำนาจโดยละเลยหลักการธรรมาภิบาล ถือเป็นการก่อความไม่สงบ ใช่หรือไม่
คำตอบในเรื่องนี้จะแตกต่างหลากหลายกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครถาม และใครตอบ เพราะถ้าหากถามคนผู้ก่อการประท้วงก็จะได้คำตอบแบบหนึ่ง แต่หากไปถามผู้ยึดกุมอำนาจรัฐไว้ในกำมือ ก็จะได้คำตอบอีกอย่างหนึ่ง
แน่นอนว่า ความไม่สงบสุขของบ้านเมือง ย่อมต้องเกิดมาจากเหตุปัจจัยบางอย่าง เช่น ผู้ปกครองเอารัดเอาเปรียบประชาชน กดขี่ขูดรีดและกลั่นแกล้งรังแกประชาชน โกงบ้านกินเมืองอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้ประชาชนไม่สามารถยอมทนได้อีกต่อไป
ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่า ประชาชนจะลุกขึ้นไปรวมตัวขับไล่ผู้มีอำนาจรัฐที่ปกครองดูแลบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์ ยุติธรรม โปร่งใส ทำความเจริญรุ่งเรืองให้กับบ้านเมืองและประเทศชาติ ขอย้ำว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยขับไล่ผู้นำประเทศที่ซื่อสัตย์ สุจริต ยกเว้นจะมีปรปักษ์ทางการเมืองของผู้นำประเทศ ที่ต้องการโค่นล้มผู้นำรายเดิมเพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐ
มีคำถามว่า ทำไมสังคมไทยจึงเกิดการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจรัฐบ่อยครั้งมาก
แล้วก็มีคำถามต่อท้ายว่า เพราะคนไทยนิยมความรุนแรง และนิยมความเป็นเผด็จการอำนาจนิยม ใช่หรือไม่
คำตอบนี้ ไม่สามารถตอบแบบเหมารวมได้ แต่ก็สามารถกล่าวได้ว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่นิยมความเป็นเผด็จการอำนาจนิยม เพราะเหตุที่ว่ามีคนเช่นนี้เป็นจำนวนไม่น้อยในสังคมไทย ดังนั้นจึงทำให้เกิดปรากฏการณ์เผด็จการอำนาจนิยมในเมืองไทย แล้วระบบเผด็จการอำนาจนิยมก็มักประสบผลสำเร็จในสังคมไทยในบางยุคบางสมัย
ข้ออ้างอย่างหนึ่ง และเป็นข้ออ้างที่สำคัญของพวกเผด็จการอำนาจนิยมที่ใช้อ้างเพื่อก่อการรัฐประหารก็คือ บ้านเมืองไม่เป็นปกติสุข บ้านเมืองวุ่นวาย บ้านเมืองไร้ระเบียบ ไร้ความมั่นคง ไร้ความปรองดองสมานฉันท์
นี่คือข้ออ้างของกลุ่มเผด็จการอำนาจนิยมที่ใช้กล่อมประสาทประชาชน จนประชาชนหลงเชื่อแล้วยอมสนับสนุนให้กลุ่มเผด็จการขึ้นไปก่อรัฐประหาร แล้วก็ยึดครองอำนาจรัฐไว้ในกำมือ
ไม่มีใครปฏิเสธว่า ก่อนที่กลุ่มเผด็จการอำนาจนิยม โดยเฉพาะกลุ่มทหารและตำรวจ จะปฏิบัติการยึดอำนาจรัฐได้นั้น บ้านเมืองและสังคมก็มักจะเกิดความโกลาหล เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง เกิดการโกงกินกันอย่างอุตลุดไปทั่วทุกหัวระแหง แม้ประชาชนจะพยายามขับไล่ผู้นำรัฐที่โกงกินให้ออกไปจากอำนาจด้วยการประท้วงอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ แต่ผู้นำรัฐที่มีพฤติกรรมโกงกิน (ส่วนใหญ่จะพบได้บ่อยมากในช่วงระยะหลังๆ ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย) ก็กลับไม่นำพา ไม่สนใจ ไม่ฟังเสียงคัดค้านโดยสงบของประชาชน แถมผู้นำรัฐจำพวกโกงกินอย่างบ้าระห่ำ ยังอ้างว่าตนเองมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นเมื่อชนะการเลือกตั้งแล้ว จึงสามารถทำทุกอย่างตามอำเภอใจได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ประชาชนก็จึงจำยอมต้องหันไปพึ่งอำนาจปืนกล รถถัง และกำลังทหารจากเหล่าเผด็จการอำนาจนิยมในเครื่องแบบกองทัพ เพราะเห็นว่าเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะสามารถขับไล่รัฐบาลฉ้อราษฎร์ให้พ้นไปจากอำนาจได้
มิใช่ว่าประชาชนจะไม่สำเหนียกว่าเมื่อทหารและตำรวจได้อำนาจรัฐไปครอบครองแล้ว สุดท้ายผู้ได้อำนาจรัฐด้วยการรัฐประหารก็จะมีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์โกงบ้านกินเมืองไม่แตกต่างไปจากผู้นำรัฐที่อ้างว่าชนะการเลือกตั้ง
แต่ทว่าเมื่อประชาชนคิดว่าทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้รัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง แต่กลับมีพฤติกรรมโกงบ้านกินเมืองพ้นไปจากอำนาจรัฐให้ได้ แม้จะต้องพึ่งอำนาจจากกลุ่มเผด็จการทหารตำรวจก็จำต้องยอม แล้วค่อยมาขับไล่กลุ่มทหารตำรวจโกงบ้านกินเมืองในวันข้างหน้า สภาวการณ์เช่นนี้เปรียบเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ จึงพยายามไขว่คว้าทุกอย่างที่ลอยผ่านมา แม้สิ่งนั่นจะเป็นแค่เพียงเศษไม้กิ่งเล็กๆ ก็ตาม แต่ที่น่าสังเวชยิ่งกว่าคือ สิ่งที่คว้าไว้นั้น มันไม่ใช่กิ่งไม้ แต่มันคืองูพิษที่ลอยมากับกระแสน้ำ
ทุกครั้งเมื่อมีการทำรัฐประหารเสร็จแล้ว สิ่งที่ตามมาคือการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการประกาศนิรโทษกรรมให้ตนเองพ้นผิดจากความผิดทั้งปวง โดยที่คณะผู้ก่อรัฐประหารไม่สามารถแก้ปัญหาเดิมๆ ของประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงมีอุตสาหกรรมชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร นั่นคืออุตสาหกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญการทำอุตสาหกรรมนี้คือ กลุ่มผู้รับจ้างร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหน้าซ้ำๆ หน้าเดิมๆ จำเจ เวียนวน วนเวียนมาหลายสิบปี
เป็นเรื่องที่แสนจะน่าสังเวชใจ เพราะผู้ก่อรัฐประหารในประเทศไทยชอบอ้างว่าตนเองรักและศรัทธาในหลักการเสรีประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีความเคารพในหลักการประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย แต่ก็จำเป็นต้องอ้างเช่นนั้น เพื่อให้นานาชาติยอมรับตัวเอง เพราะมิฉะนั้นนานาชาติที่ไม่นิยมการรัฐประหารก็จะไม่คบค้าสมาคมกับผู้ก่อรัฐประหาร
ผู้ศึกษาวิชาด้านรัฐศาสตร์การเมืองการปกครองไทย ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับการรัฐประหารมาอย่างยาวนาน ได้ข้อสรุปว่า ทุกครั้งเมื่อทำรัฐประหารแล้ว ก็จะต้องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา เพราะรัฐธรรมถูกใช้เป็นข้ออ้างกับนานาชาติ และสังคมโลกภายนอกว่า คณะรัฐประหารมีความชอบธรรม และยังยึดมั่นในหลักกฎหมาย มิได้ปกครองบ้านเมืองแบบป่าเถื่อน ไร้กฎไร้ระเบียบ ไร้ขื่อแปของบ้านเมือง
แต่ทว่า รัฐธรรมนูญของพวกเผด็จการนั้น ก็คือกฎหมายของพวกเผด็จการวันยังค่ำ เพราะฉะนั้นจึงอย่าหวังเลยว่ารัฐธรรมนูญของเผด็จการจะสนับสนุนความเป็นประชาธิปไตยโดยแท้จริง เพราะรัฐธรรมนูญของเผด็จการถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เผด็จการสามารถยึดกุมอำนาจรัฐไว้ให้ยาวนานมากที่สุด เท่าที่พวกเขาจะสามารถยื้อยุดเอาไว้ได้
แน่นอนว่า พวกที่ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยคืออะไร ก็มักจะเข้าใจแบบเลื่อนลอยว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นหากรักประชาธิปไตยก็ต้องไปเลือกตั้ง แต่คนไร้ปัญญาเหล่านี้ไม่สนใจว่าเลือกตั้งนั้นบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ แต่ทว่าสนใจแค่เพียงพิธีกรรมของการเลือกตั้ง ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากพวกเผด็จการที่ชอบอ้างว่าตนเองรักประชาธิปไตย เพราะคนพวกนี้ก็จะอ้างว่ากลุ่มเผด็จการของตนเองเป็นประชาธิปไตย เพราะว่ามีรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว
เป็นความจริงแท้ที่ว่ารัฐธรรมนูญของพวกเผด็จการอำนาจนิยมไม่เคยสนับสนุนหรือส่งเสริมหลักการเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ความเท่าเทียมโดยแท้จริง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องพิสดาร เพราะมันคือรัฐธรรมนูญของพวกเผด็จการ ซึ่งจะไม่มีวันเหมือนรัฐธรรมนูญที่มาจากผู้นิยมศรัทธาในประชาธิปไตยอย่างจริงจัง
ดังนั้นรัฐธรรมนูญของพวกเผด็จการจึงให้อำนาจเบ็ดเสร็จกับผู้นำเผด็จการ แต่กลับลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน
ผู้นำเผด็จการจะชอบอ้างว่าตนเองรักบ้านเมือง เสียสละเพื่อบ้านเมือง เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อบ้านเมืองมากกว่าใครๆ บนแผ่นดินนี้ พวกตนเหนื่อยยากแสนสาหัสจนแทบเอาชีวตไม่รอด และอ้างอีกว่าไม่สนใจ ไม่ยึดติด ไม่เสพติดอำนาจรัฐ แล้วก็อ้างเลยเถิดไปว่า ยุคนี้บ้านเมืองสุขสงบกว่ายุคที่เพิ่งผ่านมา เพราะว่ามีพวกตนเป็นผู้ปกครอง
ผู้นำเผด็จการชอบถามคำถามแบบไร้ตรรกะว่า พวกคุณอยากให้บ้านเมืองกลับไปเกิดความไม่สงบเหมือนยุคที่เพิ่งผ่านมาหรือ แต่เขากลับไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า พวกเขามีความสามารถบริหารบ้านเมืองให้พัฒนาก้าวหน้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่ แต่เขาจะอ้างว่าเขาทำให้บ้านเมืองสงบ แล้วขอให้ประชาชนอดทนรอ ขอเวลาอีกไม่นาน
ผู้เผด็จการเหล่านี้มีหน้าตา และตัวตนเช่นไร คุณตอบได้ไหม หรือคุณรู้ดี แต่ไม่อยากตอบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี