นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. “ลากศพ” คนตาย...ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกแล้วครับ!!
หลังการแถลงข่าวของ ป.ป.ช. เมื่อวันก่อน ไม่ปรากฏว่า มีการแถลงความคืบหน้าเรื่องที่มีการยื่นให้ตรวจสอบเอาผิดกรณีสลายการชุมนุม นปช. เมื่อปี 2553 อีกรอบ นายณัฐวุฒิก็ออกมา “ตีหน้าเศร้า เล่าไม่ครบ” อีกตามเคย
เขาเปิดเผยว่า แม้จะทำใจไว้ล่วงหน้า แต่ยอมรับว่ายังรู้สึกเสียใจที่การแถลงความคืบหน้าการดำเนินการคดีต่างๆ ของป.ป.ช.ไม่มีการพูดถึงคดีสลายการชุมนุมกลุ่มนปช.เมื่อปี 2553 ทั้งที่เรา รวมทั้งญาติผู้เสียชีวิตพยายามติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อัยการสูงสุดยังได้แจ้งคำพิพากษาศาลฎีกาให้ป.ป.ช.ทราบ แต่ ป.ป.ช. ทั้งคณะยังคงเพิกเฉย ไม่มีการปฏิบัติ ไม่มีคำอธิบาย การร้องขอสำนวนยกคำร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ เพื่อเปรียบเทียบมาตรฐานการใช้ดุลยพินิจกับกรณีสั่งฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง
“ผมกำลังสงสัยว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงต่างกับกรณีสุนัขพันธุ์บางแก้ว ซึ่งพอเป็นประเด็นก็มีข่าวป.ป.ช.กำลังคิดปรับมูลค่าของขวัญที่ครม.รับได้ให้เกิน 3,000 บาททันที กรรมการป.ป.ช.ชุดนี้จัดลำดับความสำคัญระหว่างเรื่องสุนัข 2 ตัว กับคนตาย 100 ชีวิตอย่างไร ผมพร้อมเข้าพบและให้ความร่วมมือกับป.ป.ช.ทุกอย่างเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมในคดีนี้ถึงที่สุด สิ้นสงสัย การดำเนินการทุกขั้นตอนจะเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ผมต้องการเพียงความยุติธรรม ให้คดีคนตายนับร้อยไปถึงศาลแล้วสู้กันด้วยพยานหลักฐาน หลังจากนั้นก็ตามแต่ศาลจะพิพากษา” แกนนำนปช.กล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า อย่าอ้างว่าศาลฎีกายกฟ้องไปแล้ว เพราะความจริงคือศาลเพียงชี้ว่าเรื่องนี้อยู่ในอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น ใครฆ่าใครตาย ใครใช้ ใครสั่งการ ยังเป็นกรณีต้องวินิจฉัย ทั้งนี้ สัปดาห์หน้าเราจะไปติดตามเรื่องนี้ที่ป.ป.ช.อีกครั้ง เพราะกฎหมายให้สิทธิ์ว่าทำได้ กรรมการป.ป.ช.อาจกำลังมีความสุขที่ไม่ถูกเซตซีโร่ แต่คนจำนวนมากจะมีความทุกข์ ถ้าท่านเซตซีโร่ความยุติธรรมในคดีนี้ ท่านอาจนั่งทับเรื่องนี้อยู่ได้ถึง 9 ปี แต่คงต้องแลกกับการแบกคำถามไปตลอดชีวิตว่า ทำไมจึงไม่ปรากฏความยุติธรรมที่เป็นมาตรฐานเดียวในคดีนี้
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่นายณัฐวุฒิหยิบมา “หาประโยชน์ทางการเมือง” แบบคลุมเครือเสมอมา
เพื่อจะได้รู้ทันนายคนนี้ มาไล่กันทีละประเด็น
1) นายณัฐวุฒิ มักนับศพโดยเหมารวมให้เยอะๆ เข้าไว้ ให้เข้าใจว่าคนตายเป็นคนเสื้อแดงทั้งหมด โดยไม่จำแนกแจกแจงว่า เจ้าหน้าที่ตายไปเท่าไหร่ ตายอย่างไร ตายเพราะกองกำลังชุดดำที่ปนเข้ามาแฝงตัวในหมู่คนเสื้อแดงพร้อมอาวุธสงครามใช่หรือไม่ นับศพนักข่าวญี่ปุ่น ซึ่งวิถีกระสุนไม่ได้มาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ นับแม้กระทั่งสตรีรายหนึ่งที่ถูกเอ็ม 79 ตาย ที่สถานีรถไฟศาลาแดง โดยวิถีการยิงมาจากฝั่งสวนลุมพินี ในจุดที่ นปช. ชุมนุมอยู่ เป็นการนับที่ “หน้าด้านที่สุด”
2) จะอย่างไรก็ตาม คนพวกนี้ “ตายฟรีแน่นอน” หาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เสนอและสนองโดยพรรคเพื่อไทย ในสมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งนายณัฐวุฒิได้ดิบได้ดีเป็นถึงรัฐมนตรี
ช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมอยู่ในการพิจารณาด้วย แต่นายณัฐวุฒิ ไม่ได้โหวต “ไม่เห็นด้วย” ซึ่งก็แปลกที่สุด ถ้านายณัฐวุฒิเห็นค่าของชีวิตเหล่านั้น ไยไม่คัดค้านกฎหมายที่จะไม่เอาผิดคนฆ่า ไม่ให้ค้นหาความจริง ให้ตายไปเปล่าๆ ไม่ต้องรู้ว่าใครฆ่า แม้กระทั่งคดีที่เข้าโรงเข้าศาลไปแล้ว ก็ให้ยุติทันที ไม่ต้องพิจารณาต่อ และไม่มีทางฟ้องร้องเอาผิดใครได้อีก นั่นไม่ชั่วกว่า ป.ป.ช.อีกหรือครับ? ซึ่งหากกฎหมายที่ลากถูลู่ถูกังกันจนผ่านด้วยเสียงของ “เผด็จการรัฐสภา” ได้ในตอนตีสามตีสี่ และประกาศใช้ ก็ไม่มีครอบครัวคนตายคนไหนในจำนวน “ร้อยๆ ศพ” ที่ณัฐวุฒิว่า จะทวงความยุติธรรมได้อีก รวมทั้งนายณัฐวุฒิด้วย
3) น่าแปลกหนักเข้าไปอีก เมื่อพบว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กลับคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั่น อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ทำไมสองคนนี้อยากให้ครอบครัวคนตายได้รับความเป็นธรรม ทั้งๆ ที่พวกเขาทั้งสองตกเป็นเป้าของการป้ายสี กล่าวหาว่าสั่งทหารให้ไปฆ่าประชาชน (จนนายจตุพร พรหมพันธุ์ กับนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ต้องเข้าคุก เพราะปราศรัยใส่ร้ายด้วยประโยคที่ว่า สั่งทหารให้ไปฆ่า เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด) แต่ไอ้คนที่ได้ประโยชน์ ได้ความนิยมชมชอบมาจาก “ลากศพแม้แทะทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา” กับมีพฤติกรรมระยำหมา ไม่กล้าที่จะโหวตคว่ำกฎหมาย แต่ตีฝีปาก ทำเหมือนต่อสู้แทนครอบครัวคนตายอยู่ตลอดเวลา
4) อันที่จริง ป.ป.ช.มิได้เพิกเฉย ต่อการให้ความเป็นธรรมเลย มีผู้ยื่นเรื่องนี้ให้ ป.ป.ช.พิจารณาแล้ว และ ป.ป.ช. ก็มีมติ
“ยกคำร้อง” ไปแล้ว กล่าวคือ...
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ อ้างคำพูดของนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่เปิดเผยมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีคำร้องขอให้ถอดถอนและคำกล่าวหา
• นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
• นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
• พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
จากการไต่สวน ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
ขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553
อย่างไรก็ตาม แม้คำสั่งที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้จะเป็นไปตามหลักสากลก็ตาม แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้อาวุธปืนตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นตามความจำเป็น และพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นภาระที่หนักและยากอย่างยิ่งในการปฏิบัติ แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าวได้ หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อันเป็น “ความรับผิดเฉพาะตัว”
เช่นเดียวกับนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ จะต้องรับผิดในกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนได้ใช้หรืออยู่ระหว่างใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่ดำเนินการยับยั้ง ป้องกัน และรายงานเหตุดังกล่าว
ซึ่งคดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษด้วย จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 ให้ DSI ดำเนินการต่อไป ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 89/2
สำหรับประเด็นการกล่าวหานายอภิสิทธิ์, นายสุเทพ และ พล.อ.อนุพงษ์ กับพวก กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น จากการไต่สวนปรากฏ
ข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ.ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง โดยการปฏิบัติในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง แต่ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้มีการผลักดันต่อผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง แต่เป็นการกดดันต่อกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่ ซึ่งการปฏิบัติในการกระชับพื้นที่สวนลุมพินี ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน หลังจากประกาศแล้ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไป
ดังนั้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม กับพวก ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการ ในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน
เมื่อมีการยื่นเข้ามาใหม่ ป.ป.ช. ก็รับเรื่องไว้ โดยต้องพิจารณาว่า เป็นการยื่นประเด็นใหม่หรือยื่นซ้ำ เพราะหาก “ยื่นซ้ำ” กฎหมายไม่อนุญาตให้รับไว้พิจารณา ซึ่งก็น่าผิดหวังจริงๆ ว่า ป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ช้ามาก ควรที่จะชี้แจงแถลงไขว่าขณะนี้เรื่องอยู่ในขั้นตอนใด เพื่อปิดทางพวก “ลากศพมาแทะ” เอาไว้บ้างก็ยังดี
5) ส่วนในทางศาล เดิมในยุค นายธาริต เพ็งดิษฐ์ แทนที่จะส่งเรื่องนี้ให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ เพราะเป็นการเอาผิด “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ที่ใช้อำนาจนายกฯ และรองนายกฯ สั่งการ กลับให้ดีเอสไอทำเอง ส่งต่อให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง อัยการก็แปลกประหลาดอะไรเช่นนั้น ส่งฟ้องศาลราวกับไม่มีความรู้ทางกฎหมาย ว่าดีเอสไอตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่อง “การใช้อำนาจ” เป็นคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าด้วยการใช้อำนาจสั่งการ ไม่ใช่ควงปืนไปยิงใครตายด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องอาญาเฉพาะตัว แต่อัยการก็ส่งฟ้องศาลหน้าตาเฉย จนศาลฎีกายกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่า ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกา จึงได้ลนลานแก้ปัญหา เพราะกลัว นปช. จะรู้ทันว่า ไอ้ห่ะ! ตบตากูนี่หว่า ทำเป็นฟ้องไป ทั้งๆ ที่ไม่น่าไม่รู้ว่าฟ้องไม่ได้ เป็นกฎหมายพื้นๆ แท้ๆ ว่าเรื่องใช้อำนาจสั่งการสลายการชุมนุมนั้น ไม่ใช่การกระทำส่วนตัว แต่สั่งการในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องร้องกับ ป.ป.ช. ให้ป.ป.ช.ไต่สวน ชี้มูลเสียก่อน จึงจะส่งให้อัยการฟ้องศาลได้ ซึ่งก็แปลกอีก ที่ไม่มีใครไปเอาผิดดีเอสไอกับอัยการ ว่าจงใจฟ้องศาลเป็นการใช้อำนาจมิชอบ
คดีนี้จบไปแล้วตั้งแต่เวลา 09.20 น. วันที่ 31 สิงหาคม ที่ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาตอนหนึ่งว่า
“คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งให้ยกฟ้องโดยไม่รับสำนวนคดีไว้พิจารณาเนื่องจากศาลเห็นว่า แม้อัยการโจทก์ จะกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ได้ออกคำสั่ง ศอฉ. กระชับพื้นที่ หรือสลายการชุมนุม แต่เป็นการใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ราชการในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ.ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ด้วย ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งราชการ ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นผู้มีอำนาจไต่สวน และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องยื่นฟ้องคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีอำนาจไต่สวนชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้ การที่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ โดยอาศัยสำนวนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ซึ่งไม่มีอำนาจในการสอบสวนดังกล่าว การฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลอาญาจึงไม่ใช่ศาลที่มีเขตอำนาจรับคดีนี้ ไว้พิจารณา อัยการโจทก์จึงยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับคดีไว้พิจารณา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันเเล้วเห็นว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์เเละนายสุเทพเป็นการกระทำในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ.ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ด้วย ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งราชการ ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นผู้มีอำนาจไต่สวน และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องยื่นฟ้องคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ใช่อำนาจศาลอาญา พิพากษายืนยกฟ้อง”
ดังนั้น เรื่องนี้ มองให้ดีด้วยสติปัญญา ก็จะรู้ว่า ทุกอย่างเดินไปตามกระบวนการทั้งนั้น ยกเว้นการที่นายธาริตให้ดีเอสไอทำสำนวน อัยการส่งฟ้อง ซึ่งสืบย้อนหลังดูพฤติกรรมนายธาริตกับอัยการตอนนั้น ก็น่าจะเห็น “เค้าลาง” อะไรกันได้บ้าง ว่าทำไมกล้าฟ้อง ทั้งๆ ที่ใช้ปัญญาขั้นต่ำทางกฎหมาย ก็พึงจะรู้ได้ว่า ไม่ใช่อำนาจของตัว ไม่ใช่ขั้นตอนการทำสำนวนโดยผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายบัญญัติเลย
มาวันนี้ นายณัฐวุฒิยังมา “เล่น” กับเรื่องนี้อีก
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ระหว่างเรื่อง “หมาๆ” แบบหมาบางแก้ว กับเรื่องนี้ ที่ไม่เดินให้ตรงไปตรงมา ไม่ซื่อต่อคนเสื้อแดงว่าอะไรเป็นอะไร แบบไหนจะเป็น “เรื่องหมาๆ” มากกว่ากัน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี