• เหลียวดูสรุปบทเรียนอดีต ก่อนก้าวไปอย่างเข้าใจในปัจจุบัน เพื่อสู่อนาคตที่ดีกว่าของประเทศไทย
• คำสำคัญ (Key words) : อดีต ปัจจุบัน อนาคต, สรุปบทเรียน เข้าใจ,ดีกว่าของประเทศไทย
• 1.เหลียวดูสรุปบทเรียนอดีต
ก.ผู้นำวงการต่างๆ ของสังคมไทยส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกเชิงลบต่อรัฐบาล คสช. “ไม่พอใจ, เลวลง” ต่างเรียกร้องเชิงกล่าวหา“ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้” และจบลงตรงกัน การเลือกตั้งคืนประชาธิปไตยโดยเร็ว คนเหล่านี้เคยวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรง ในยามเป็นฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล โดยมีคนเชียร์แต่ละฝ่าย แต่มีอีกส่วนที่ได้สรุปบทเรียนที่เป็นจริงของประเทศไทย “มองเชิงบวก คิดเชิงสร้างสรรค์ เสนอแนะ
ฯลฯ”
1.1 คนส่วนแรก ดูเก่งทุกอย่างยาม “หาเสียงเลือกตั้ง” แต่เมื่อเป็นรัฐบาล แก้ปัญหาไม่ได้ สร้างได้แต่วิกฤติ ข้ออ่อนตลอดกาลคือ ไม่คิดปฏิรูปตนเอง ไม่เคยสรุปบทเรียนตามความเป็นจริง ถึงข้ออ่อน บกพร่องผิดพลาด บางส่วนเก่งแบบ “ดีเด่นดัง” แต่ใช้อำนาจไม่เป็นธรรมเพื่อตนเองพวกพ้อง และหัวหน้านายใหญ่ของตน ยามมีอำนาจ ใช้นโยบายประชานิยม ยามเป็นฝ่ายค้านก็ระดมมวลชนมาล้มรัฐบาล
ในเมืองหลวง ฯลฯ
อีกบางส่วน ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยเลือกตั้งแบบตะวันตก พูดเก่งคารมคมคาย แต่แก้วิกฤติไม่ได้ ยามมีอำนาจ แก้ปัญหา เน้นหลักการ ยึดกฎหมายกติกาที่ขาดการปฏิรูป ฯลฯ แต่แก้ปัญหาไม่เคยได้ คำที่ไม่เคยรู้จักคือ “ขอโทษ ผิดไปแล้ว” ประโยคที่พูดเสมอ “ประชาชนมาก่อน” แต่ความจริง “กูมาก่อน” สิ่งที่ไม่เคยทำ คือ “การปฏิรูประบบโครงสร้างสังคม การพัฒนาคุณภาพ ให้ประชาชนเข้มแข็งฯ”
ที่ผ่านมา เราขาดพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ เอาผลประโยชน์ของประชาชนและบ้านเมืองมาก่อน นักการเมืองมักกล่าวอ้างประชาธิปไตยต่อ : รัฐบาล กองทัพ พรรคการเมืองอื่น และประชาชน แต่มิใช่ตน
ข. สื่อสารมวลชน นักวิชาการ-นักเคลื่อนไหวฯ ขาดจรรยาบรรณ ไม่รู้จริง มีอคติขาดอวิชชาฯ
สื่อ : ไม่ได้ทำหน้าที่ของสื่อที่ดีในการนำเสนอความจริง สร้างสรรค์ เอาเรื่องหลักที่มีผลดีเสีย ต่อส่วนรวมฯ ข้ออ่อนตลอดกาลคือ ไม่คิดปฏิรูปตนเอง ขาดจรรยาบรรณ ความรับผิดชอบ และการวิพากษ์สื่อเลวที่ทำผิด ปัจจุบันสื่อกลายเป็นธุรกิจ ร่วมมือกับทุนใหญ่ ผู้มีอำนาจ กลุ่มการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวฯ มี Agenda (วาระแฝง) ที่เน้นความคิดอคติ ผลประโยชน์เฉพาะของตนเอง คู่มากับความเป็นสื่อสารมวลชน จึ่งเห็นสื่อเลือกข้าง สนับสนุนพรรคการเมือง นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวฯที่คิดตรงกับเป้าหมายของตน คนไทย เราจึงตกอยู่ใน “วังวนของข่าวเสี้ยม ข่าวจริงปนเท็จ ข่าวเล็กข่าวน้อย ที่สร้างกระแสรายวันของสื่อ”
คอลัมนิสต์ก็เช่นกัน แทนการนำเสนอความจริงเพื่อส่วนรวม กลับเสนอ “อคติอวิชา” ของตนแทนความจริง แต่ก็ยังมี สื่อ คอลัมนิสต์
นักข่าว ที่มีอุดมคติ มีจรรยาบรรณ นำเสนอความจริง สร้างสรรค์ ให้เลือกอ่านฯ
ค : นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวรายประเด็นรายวัน ที่ขาดความเชี่ยวชาญ ไม่รู้จริง พูดทุกเรื่อง
นักวิชาการที่ดีต้องรู้จักตัวเอง นำเสนอต่อสังคมในเรื่องที่เป็นความจริง ตนเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ รู้จริง แต่เราเห็น “ข่าวที่ออกมาจากนักวิชาการไม่กี่คน ที่ออกมาแสดงทัศนะในทุกเรื่อง” และมีพื้นที่ข่าวลงให้ตลอด ที่มีไม่น้อยคือ “การขาดข้อมูลที่เป็นจริง จึงนำข้อมูลอื่นมาตีความ ซึ่งบางครั้งไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย ไม่ได้นำเสนอ “ความจริง ความดีและมีประโยชน์” ต่อประชาชนและประเทศไทย
นักเคลื่อนไหวรายวันก็เช่นกัน “ทำตัวเป็นพหูสูต” วิจารณ์รัฐ ข้าราชการ กลุ่มทุน แต่ไม่เคยวิจารณ์ตนเอง บางส่วน “ติดลมบน” จากการยกขึ้นของสื่อ ในการใช้คำพูด “กล่าวหาคนอื่นอย่างเสียหาย” เป็นรายวันฯ
ง. รัฐบาล กองทัพ ยังขาดภาวะความเป็นผู้นำเยี่ยงรัฐบุรุษ ที่มีวิสัยทัศน์ กล้าตัดสินใจเพื่ออนาคตของบ้านเมือง
เราจึงมีนายกฯและรัฐมนตรีที่ขาดๆ เกินๆ ที่ขยันทำงานทุกเรื่อง พูดทุกประเด็น แต่ขาดประเด็นหลักที่ควรปฏิรูป ขาดประสบการณ์เรื่องของ “การใช้อำนาจที่เป็นธรรม” ขจัดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในสังคมมือยาวมือสั้น ยึดกติกากฎหมายที่ล้าหลัง รักษาภาพพจน์หน้าตาของตน เกรงใจฝรั่งมังคา มากกว่า “การแก้วิกฤติของชาติ”
จ. ข้าราชการประจำ กลไกการปฏิบัติงานของรัฐบาลทั้งจากการเลือกตั้งและจากการรัฐประหารโดยกองทัพ ยังขาดการปฏิรูปอย่างจริงจัง ให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เป็นธรรม รับใช้ประชาชนและประเทศชาติ ยังคงมีระบบอุปถัมภ์ การคอร์รัปชั่น การยกย่องสรรเสริญ
“เจ้านาย” แทนการกล้าเสนอความจริงตรงไปตรงมา บางส่วนที่เป็นระดับหัวในกรมกองต่างๆ มักร่วมมือให้ความสะดวกกับทุนใหญ่ นักการเมือง และเงินตรา ฯลฯ การปฏิรูปทำได้ยากแสนลำบาก เพราะ “จะไม่ร่วมมือในการลดอำนาจรัฐของตน เพิ่มอำนาจให้ประชาชน” และรัฐบาลมักมาชั่วคราว เริ่มต้นยังไม่รู้จริง ก็ต้องอาศัยข้าราชการ และเมื่อเริ่มหมดวาระ ก็ไม่ได้ความร่วมมือ
หัวใจที่สำคัญหนึ่ง คือ “รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม-การรัฐประหารที่ไม่เป็นประชาธิปไตย”ล้วนมีข้อดีและข้ออ่อน รวมทั้ง “การไม่ได้มาจากประชาชนและทำเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง อย่างแท้จริง” แล้วนำข้อสรุปนั้น มาแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างเอาจริง ทำจริงและทำทันที เพราะ “ไม่มีเวลาอีกแล้ว”
•2.เพื่อสู่อนาคตที่ดีกว่าของประเทศไทย
ประชาชนต้องการอะไร?? : ความสุข ปลอดทุกข์ ความเป็นธรรมความเจริญพัฒนาอย่างยั่งยืนของบ้านเมือง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการปฏิรูป(ปฏิวัติ) ระบบโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้ประสิทธิผลฯทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม “ตำรวจ อัยการ ศาล ฯลฯ”
และคุณภาพของคน-ประชาชน : ที่มีอิสระ พึ่งตนเองได้ คิดถูกทำเป็น มีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อส่วนรวมฯ ซึ่งจะต้องสร้างขึ้นทั้งจากรัฐ ผู้นำสังคม มหาวิทยาลัย พระวัดโบสถ์ ข้าราชการ ระบบยุติธรรมฯ และประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา “ไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาลทั้งจากการเลือกตั้งและรัฐประหารโดยกองทัพฯ และตัว “ประชาชน”เอง ทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ในเมืองและชนบท
บทเรียนที่เป็นจริงของประเทศที่ประสบความสำเร็จ เกิดจากการ “ร่วมมือและไปด้วยกัน” ของผู้นำ-ประชาชน ที่ต้องสร้างพัฒนาไปในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง และการต่อสู้ทางการเมืองในแต่ละยุคแต่ละช่วง จึงจะสามารถรวมพลังของการ “เปลี่ยนแปลง ตรวจสอบ ถ่วงดุล” ผู้ที่อำนาจรัฐฯ ได้อย่างเป็นจริง รวมทั้งการปฏิรูป แก้ไขระบบการเมือง เศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม และข้าราชการ ตามสภาพที่เป็นจริงฯ
•3.ก่อนก้าวไปอย่างเข้าใจในปัจจุบัน
ที่กล่าวมาในข้อ 1 เหลียวดูสรุปบทเรียนอดีต ด้วยการสรุปบทเรียนด้วยความเป็นจริง 2.เพื่อสู่อนาคตที่ดีกว่าของประเทศไทย ด้วยความเข้าใจจริงๆ ว่า “ประชาชนและประเทศต้องการอะไร?” ตัวกลางที่จะเชื่อม “อดีตและอนาคต” คือ “ปัจจุบัน” ในช่วงหนึ่งปีที่เหลืออยู่ในรัฐบาล คสช.
ประเด็นสำคัญ คือ “เราอยู่ในนาวาประเทศไทยร่วมกัน” ซึ่งพูดง่าย แต่ไม่ได้เข้าใจร่วมกันจากทุกฝ่าย “ต่างฝ่ายต่างมีความคิด อคติ อวิชาของตน” ที่ศึกษาพิจารณาดูแล้ว “ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”เมื่อเห็นภาพ “นาวาประเทศไทยที่มีคนพายคนละทาง ตามอคติอวิชชาของตน” ทำให้น่าห่วงกังวลไม่น้อยเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี