วันนี้ “ลุงตู่” ของคุณๆ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ประกาศว่าตนเองเป็น “นักการเมือง” แล้ว หลังจากใช้เวลา 3 ปี “ด่านักการเมือง” แบบ “เหมาเข่ง”
มานาน มันจึง “เสมอภาค” กันขึ้น เมื่อลุงตู่กระโจนลงมาสู่สถานภาพ “นักการเมือง”
จะได้เห็นกันก็รอบนี้ละครับ ว่านักการเมือง “เลวเหมือนกันหมด” แบบชุดความคิดสำเร็จรูปที่ยัดใส่หัวกันมาตลอดจริงหรือไม่
แต่เรื่องหนึ่งที่ลุงตู่มีมากกว่านักการเมืองทั่วไปก็คือ มาตรา 44
บ่อยครั้ง การใช้มาตรา 44 มีความบกพร่องจนต้องตามแก้ อำนาจจึงไม่ใช่ตัวชี้ขาด ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติของประชาชนหรือไม่ มันอยู่ที่ “ผู้ใช้อำนาจ” นั้นๆ ด้วย
อำนาจตามมาตรา 44 ประการหนึ่ง ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้ และคนที่มี “ระบบความคิด” แบบตายตัวว่า “ลุงตู่เป็นคนดี นักการเมืองเป็นคนเลว” คงจะถึงเวลาดูปัญหาให้ประณีตขึ้นได้แล้ว
นั่นคือ การใช้ มาตรา 44 ไป “เปลี่ยนแปลงเนื้อหา” ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งออกจากตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งผ่านการทำประชามติจากประชาชนทั่วประเทศแล้ว
เพื่อจะเข้าใจเรื่องนี้ และหลุดจากความคิดแบนๆ ว่า “ลุงตู่ดี ทำอะไรก็ถูกหมด” นักการเมืองเลว แย้งอะไรก็เพื่อประโยชน์ส่วนตัว มาไล่เลียงกันโดยลำดับคือ
1) เป็นรัฐบาลและ คสช. เองใช่หรือไม่ ที่เห็นว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องมีรัฐธรรมนูญขึ้นใช้ จึงตั้งกรรมการร่างขึ้นมา ทำกระบวนการต่างๆ จนได้รัฐธรรมนูญ และเมื่อมีคนแนะว่า ควรทำประชามติ ท่านก็ทำให้ แล้วรัฐธรรมนูญก็ผ่านและมีผลบังคับใช้
2) ทันทีที่มีรัฐธรรมนูญ อำนาจแบบ “รัฏฐาธิปัตย์” ก็ต้องลดลงใช่หรือไม่ เช่น มาตรา 44 เป็นอำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ให้แก่ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ครั้นมีรัฐธรรมนูญที่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนแล้ว “อำนาจสูงสุด” ควรเป็นของรัฐธรรมนูญใช่ไหมครับ
3) อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญปี 2560 ก็ได้มีบทเฉพาะให้การรับรอง ม.44 ไว้ นั่นแปลว่า ม.44 ยังมีฤทธานุภาพของมัน แต่ประเด็นที่ต้องตีความก็คือ มันจะมีอำนาจก้าวล่วง ขัดแย้งกับหลักการ หรือเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
4) รัฐธรรมนูญได้กำหนดว่าต้องมี “กฎหมายลูก” หรือชื่อเต็มๆ คือ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หนึ่งในฉบับที่ออกมาแล้ว ประกาศใช้แล้ว คือ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง แต่มันก็ไม่สามารถ “บังคับใช้ได้จริงๆ” เพราะไปติดอำนาจของ คสช. ที่มีประกาศห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือเคลื่อนไหว ส่งผลให้พันธกิจตามกฎหมายที่ต้องมีการยืนยันสมาชิกภาพแล้วแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองนั้น ทำไม่ได้ แถมรัฐธรรมนูญได้กำหนด “เงื่อนเวลา” ที่ต้องปฏิบัติเอาไว้ จะทำอย่างไรกันต่อล่ะคราวนี้
5) พอพรรคการเมืองเรียกร้องให้ปลดล็อก ลุงตู่ก็เพิกเฉยบ้าง หงุดหงิดบ้าง กองเชียร์ลุงตู่ก็ออกโรงทันที ว่าไอ้นักการเมืองพวกนี้ กระสันจะเลือกตั้งกันเต็มทีแล้วล่ะสิ ไม่เอานะ พวกฉันยังไม่อยากเลือกตั้งเลย
6) เรียกสติกลับมาก่อน แล้วดูว่า พรรคการเมืองเขาเรียกร้องอะไร เขาเรียกร้องให้ปลดล็อกเพื่อให้เขาได้ทำตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญได้ใช่ไหม แล้วมันผิด ชั่ว เลวทราม
ตรงไหนกันล่ะพ่อคุณแม่คุณเอ๋ย
7) แล้วธรรมนูญมาจากไหน ก็มาจากแม่น้ำทุกสายของ คสช. และรัฐบาลใช่หรือเปล่า กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็เช่นเดียวกัน การค่อยๆ ผลักดันให้มีกฎหมายเหล่านี้ แปลว่า รัฐบาลกับ คสช. ต้องประเมินแล้วใช่ไหม ว่าสถานการณ์ก็ดี ระยะเวลาก็ดี มันทำได้แล้ว แต่อยู่ๆ ก็เอาอำนาจ คสช. ไปเบรกหรือไปหยุดการบังคับใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเสียอย่างนั้น มันยังไงกันล่ะ ตกลงสถานการณ์บ้านเมืองมันพร้อมหรือไม่พร้อม หรือแท้ที่จริงแล้ว เป็นที่ คสช. เอง กับรัฐบาลที่ยังไม่พร้อม ดูงุนงงสับสนในตัวเองอยู่ไม่น้อยนะครับ ส่วนพรรคการเมือง ถ้ากฎหมายไม่ไปบังคับว่าเขาต้องยืนยันสมาชิกภาพ แล้วแจ้งต่อนายทะเบียน เขาจะกระสันอยากทำไหมครับ ไม่หรอกครับ เพราะมันมีกระบวนการ มีต้นทุน และต้องใช้เวลา
8) ทางแก้ทำได้ เช่น ขยายเวลา แต่ดันไปออก ม.44 ออกมา เลื่อนเวลาและ “เพิ่มเงื่อนไข” ไอ้การเพิ่มเงื่อนไขนี่แหละ คือตัวปัญหา จนนำมาซึ่งการต้องตีความว่า ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งควรเป็น “อำนาจสูงสุด” ในเวลานี้หรือไม่ เพราะความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ควรจบไปเมื่อมีรัฐธรรมนูญ ไม่ควรจะมีใคร “ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ” ได้แล้ว
9) นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุมทีมกฎหมายว่า ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 ว่ามีเนื้อหาขัดรัฐธรรมนูญฯ หรือไม่ และสมควรจะดำเนินการในช่องทางใด ซึ่งเห็นว่า คสช.ไม่สามารถอ้างคำสั่งตาม ม.44 ได้เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขที่กำหนดว่า ต้องเป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูป เสริมความสมานฉันท์ของประชาชน ป้องกัน ระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง แม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดช่องให้ใช้ ม.44 ได้ก็ตามแต่ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่จะใช้ได้
10) ส่วนที่มีการบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยการใช้อำนาจตาม ม.44 นั้น นี่คือเรื่องของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เมื่อมีการใช้รัฐธรรมนูญฯฉบับถาวรแล้ว ม.44 ต้องลดบทบาทลง
จะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ ซึ่ง”นายพรเพชร วิชิตชลชัย” ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้ยืนยันเองว่า คำสั่งคสช.แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ และ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ก็ยืนยันในลักษณะเดียวกัน
11) “ดังนั้นฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ จึงเห็นว่า หากมีการตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล หรือเพิ่มภาระของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ ม.26 เป็นเรื่องที่ขัดรัฐธรรมนูญ การที่คำสั่งคสช.ที่ 53/2560 มีผลให้สมาชิกพรรคต้องไปยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคภายใน 30 วัน ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายเดิมก็เป็นสมาชิกพรรคอยู่แล้ว ถือเป็นการเพิ่มภาระบุคคลเกินสมควร จึงเป็นการออกคำสั่งที่ขัดรัฐธรรมนูญฯ โดยทีมกฎหมาย ได้มอบหมายให้นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ เป็นผู้ยกร่างคำร้องทั้ง 2 ส่วน คือ คำร้องของสมาชิกพรรคและของพรรค นำเสนอคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย จากนั้นจะรายงานให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พิจารณา โดยอาจยื่นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงหรือผ่านช่องทางของผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้ หรือยื่นในฐานะสมาชิกพรรคการเมืองที่ถูกกระทบสิทธิก็ได้” นายวิรัตน์กล่าว
12) เพื่อจะเข้าใจประเด็นของนายวิรัตน์ ต้องไปอ่านรัฐธรรมนูญมาตรา 26 ที่บัญญัติไว้ว่า
“การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไป ตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าว ต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจําเป็นในการจํากัดสิทธิ และเสรีภาพไว้ด้วย
กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง”
13) จากรัฐธรรมนูญมาตรา 26 นี้ นายวิรัตน์กับคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคตีความออกมาเป็น 5 ข้อใหญ่ๆ ว่า
• แม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันปี 2560 จะรับรองอำนาจหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ไว้ แต่ก็ไม่สามารถใช้ออกคำสั่งที่ละเมิดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งผ่านการออกเสียงประชามติได้ และไม่ได้ใช้เพื่อการปฏิรูปและรักษาความสงบตามเงื่อนไขที่มาตรา 44 กำหนดไว้
• คำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับนี้ ยังเข้าข่ายสร้างภาระเกินจำเป็นให้แก่สมาชิกพรรคการเมือง ที่ต้องทำหนังสือต่อหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อยืนยันสถานะความเป็นสมาชิกพรรคภายใน 30 วัน พร้อมต้องรับรองว่ามีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำให้สมาชิกพรรคการเมือง ต้องไปขอหนังสือรับรองจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กกต. ศาลยุติธรรม ศาลล้มละลาย และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 14 หน่วยงาน และเป็นไปไม่ได้ที่ คสช.และหน่วยงานเหล่านี้จะอำนวยความสะดวกรับรองให้สมาชิกพรรคการเมืองทั้งหมดกว่า 4 ล้านคน และถ้าไม่สามารถยืนยันได้ในกรอบเวลาก็จะพ้นจากความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
• การออกคำสั่ง คสช.เพื่อแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ยังเข้าข่ายไม่ได้รับฟังความเห็นจากประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดเงื่อนไขไว้ และถือว่าเป็นการแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอนในรัฐธรรมนูญ
• แม้คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ฉบับนี้ มีนัยต้องการให้สมาชิกพรรคการเมืองมีเวลาทบทวนตัวเอง แต่ในขณะนั้นเอง พรรคการเมืองยังไม่สามารถประชุมเพื่อกำหนดนโยบายหรือตัวผู้บริหารพรรคได้ จึงไม่มีเหตุที่สมาชิกพรรคการเมืองต้องมาทบทวนตัวเอง
• เนื้อหาสาระในคำสั่งฉบับนี้เข้าข่ายเลือกปฏิบัติ ไม่ได้สร้างความเท่าเทียมระหว่างพรรคการเมืองใหม่กับพรรคการเมืองเก่า อย่างไรก็ตาม ช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ (9 ม.ค.) จะนำข้อสรุปของทีมกฎหมาย เข้าหารือกับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อตัดสินใจว่าจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ โดยเบื้องต้นแล้วคิดไว้ 2 ช่องทาง คือ สามารถยื่นในนามพรรคผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินตามช่องทางปกติ และสามารถยื่นส่วนบุคคลต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงในกรณีของสมาชิกพรรคที่ถูกละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
“ผมอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญ ตระหนักถึงเรื่องนี้ เพราะกระทบคนหมู่มาก และส่วนตัวแล้วคิดว่าจะใช้สิทธิส่วนบุคคลยื่นโดยตรงด้วย” นายวิรัตน์กล่าว
ทั้งหมดที่ผมไล่เลียงมาให้เห็น ก็เพื่อให้รู้จัก “แยกแยะ” ด้วยเหตุด้วยผล ว่า “ใคร-กำลังทำอะไร” กับบ้านเมืองและกฎหมายของเรา ใช่มองเป็นขั้วข้างว่า ถ้าเป็นลุงตู่ ต้องถูกหมดและดีแต่ และมันโคตรจะแย่ จะเลวร้าย ถ้าเป็นความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองหรือนักการเมือง
บัดนี้ลุงตู่ยอมรับว่าตนเป็นนักการเมืองแล้ว
มิตรรักแฟนเพลงของลุงตู่ เวลาจะด่ากราด ก็จงเกรงใจลุงตู่บ้าง
ท่านคงอยากให้เราทุกคนแยกแยะเป็นรายคนไป ว่านักการเมืองคนไหน “ดี-เลว” !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี