ภายหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ประกาศตัวเป็นนักการเมือง หลายฝ่ายก็เริ่มจับจ้องในฐานะนักการเมืองตั้งแต่นี้ไป ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องความมั่นคงถือเป็นจุดเด่นที่ยังคงไว้ใจได้อยู่ ด้วยมุมมองใหม่ของสื่อมวลชนต่อนายกฯ ทำให้การจับตาเรื่องผู้ต้องหาคดีจำนำข้าวที่ปัจจุบันปรากฏว่าอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แต่ฝ่ายความมั่นคงไม่สามารถตอบสังคมได้ตั้งแต่วันตัดสินคดีจำนำข้าวว่า อดีตนายกฯหายไปไหน ภาพล่าสุดจึงเป็นคำถามย้อนมาที่พล.อ.ประยุทธ์ ว่า จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ทั้งในฐานะนายกฯคนกลางที่ประกาศมาขจัดการทุจริต หรือในฐานะนักการเมือง คำตอบของนายกฯถึงวันนี้คือยังไม่ได้รับรายงาน คำตอบเดียวกันแต่ในสายตาสื่อและประชาชนที่มองนายกฯเปลี่ยนไปนั้น ความรู้สึกต่อคำตอบก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับเรื่องเศรษฐกิจที่หลายคนกำลังเป็นห่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในเร็วๆ นี้
เปิดปีใหม่มาเพียงสัปดาห์เดียว ก็มีการเคาะงบประมาณก้อนใหญ่กว่า 35,600 ล้านบาท ไปกับการทุ่มจ่ายเรื่องสวัสดิการแห่งรัฐเพียงอย่างเดียว ความเชื่อมั่นที่เปลี่ยนไป กลายเป็นคำถามมากมายมาที่การใช้จ่ายเงินครั้งนี้ ที่ไม่เพียงเรื่องความโปร่งใส แต่ยังรวมถึงความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ แต่ที่สำคัญสุด คือศักยภาพหรือฝีมือคนทำงาน จะทำให้เงินก้อนนี้ คุ้มค่าหรือไม่? เพราะแค่เปิดหัวค่าใช้จ่ายรายการแรกคือ ค่าเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนคณะกรรมการและคนทำงาน มูลค่า 2,999 ล้านบาท ตามด้วยงบฯรายการอื่นผ่านหน่วยงานกระทรวงลูกรักของผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจรัฐบาลชุดนี้ ร่วมด้วยการใช้ธนาคารรัฐเป็นแขนขาจัดการ ซึ่งก่อนหน้านี้ หลายคนเริ่มตั้งคำถามกับการใช้ธนาคารรัฐดำเนินการ
คำถามทั้งเรื่องความโปร่งใส ประสิทธิภาพและการสนับสนุนของธนาคารรัฐต่อโครงการต่างๆ เพื่อวัตถุประสงค์ใดกันแน่ ซึ่งต้องติดตามต่อไปตลอดการดำรงตำแหน่งของเสนาบดีใหญ่ด้านเศรษฐกิจ ที่เข้ามาเป็นตัวกลางประสานงานและออกนโยบายต่างๆ 3 ปีที่ผ่านมา โครงการเมกะโปรเจกท์ที่ยังกระตุ้นจีดีพีไม่ได้ผล? จน 2 ปีหลังเน้นออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมากมาย เพื่อปั่นจีดีพี อ้างมุ่งเน้นถึงผู้คนระดับรากหญ้า และ SME ระดมสรรพกำลัง งบฯมากมายทั้งในระบบและเงินนอกงบประมาณหวังช่วย SME และประชาชนให้ลืมตาอ้าปากได้ แต่ผลของนโยบายหรือแม้แต่เป้าแท้จริง ไม่มีใครทราบได้?
ที่ผ่านมานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากชุดใหญ่เช่น การแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ,บ้านประชารัฐ ถือเป็นการใช้เงินของรัฐ เป็นจุดเริ่มต้นการปั่นวงล้อเศรษฐกิจให้ผู้มีรายได้น้อย และชนชั้นกลางระดับล่าง แต่ความเป็นจริงงบฯมหาศาลที่โยนลงไปตอบโจทย์ประชาชนและก่อให้เกิดการหมุนกงล้อเศรษฐกิจขึ้น จริงหรือไม่? หรือแค่กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น(มาก) ก่อให้เกิดภาระหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น หรือก่อประโยชน์ต่อธุรกิจบางรายเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคและค้าปลีกกันแน่? เพราะขณะที่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ขยายสาขามากมาย ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยของชุมชนกลับทยอยปิดตัว และต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะปั่นเงินลงไปยังฐานรากสักกี่รอบ เหตุใดยังไม่เกิดการฟื้นตัวของการค้าขาย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ตกต่ำลงมากตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปีนี้ นี่ยังไม่นับนโยบายการจัดเก็บรายได้ที่เริ่มมีกลิ่นแปลกๆ ดูเหมือนจะผลักภาระภาษีให้ประชาชนแบกรับมากขึ้น ทั้งภาษีรายได้บุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินมหาศาลที่ลงไปกับรากหญ้าที่ผ่านมา และก้อนใหญ่ที่พึ่งเคาะผ่านไปเมื่อวันอังคารนี้จึงไม่รู้ว่าคุ้มค่ากับภาระภาษีของประเทศหรือไม่?
วงล้อเศรษฐกิจวงถัดมาที่เสนาบดีใหญ่เศรษฐกิจประกาศคือ ที่บอกว่ามีโครงการ มีงบประมาณมากมายมหาศาลที่ลงไปช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของ SME และสตาร์ทอัพ จัดแถลงข่าวใหญ่โตแทบทุกไตรมาส สุดท้ายได้ผลจริงอย่างนั้นหรือไม่? โดยรัฐบาลชุดนี้มอบให้ 5 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สสว.,บสย.,สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, SME แบงก์ และ สวทช. รวมถึงหน่วยงาน
อื่นๆ ที่ถูกประกาศจะมาช่วย SME พอย้อนกลับไปที่แผนงานและงบประมาณว่าซ้ำซ้อนกันหรือไม่? การให้งบฯลอยโดยไม่มีเป้าหมาย ไม่สนใจความต้องการผู้ประกอบธุรกิจ SME และไม่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ ใช่หรือไม่? เหตุใดผู้ประกอบการยังคงไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้?แล้วงบสนับสนุนดังกล่าวไปช่วยใครกันแน่? หวังใจว่า อย่าให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหตุการณ์ในรัฐบาลระบอบทักษิณ ที่เงินไม่ถึงประชาชนแท้จริง กลับตกอยู่กับกลุ่มนายทุนหรือกลุ่มการเมืองที่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ที่ใช้งบรัฐช่วยเหลือ SME หวังว่า จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคงไม่มีใครห้ามน้ำใจไมตรีของคนรู้จักมักคุ้น โดยเฉพาะเคยคนร่วมรัฐบาลเดียวกัน
กงล้อเศรษฐกิจที่สามที่หวังพึ่งในการปั่นจีดีพี ที่ท่านประกาศตลอดว่า มีแผนงานที่จะสามารถดึงเงินลงทุนต่างประเทศเข้ามาได้มหาศาล ที่คุยโวไว้ตั้งแต่ทุนเพื่อการเกษตร ทุนอุตสาหกรรม ทุนดิจิตอล จนถึงทุนที่เข้ามาในอีอีซี ผลประกาศกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง สอดคล้องกันหรือไม่? ไล่ตั้งแต่การให้ต่างประเทศลงทุนในสินค้าเกษตร จากเดิมที่ส่งเสริมให้เกษตรกรไทยเติบโตควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจการเกษตร ขยายและพัฒนาตลาด ตลอดจนตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า แต่ในรัฐบาลนี้กลับชูนโยบายให้ต่างชาติมาลงทุน ผลที่เกิดขึ้นเป็นการช่วยเกษตรกรและธุรกิจสินค้าเกษตรไทย หรือเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามากินรวบกันแน่? ทั้งล้งสวนยางจีนร่วมมือกับเอกชนหรือกลุ่มเกษตรกรไทย ทำสัญญาซื้อขายยางพาราระหว่างกัน ซึ่งส่อแววมีปัญหาซ้ำรอยล้งจีนที่เข้ามาซื้อผลไม้ในภาคตะวันออก กรณีเหมาสวนผลไม้ที่จันทบุรี และตราด หรือกรณีตั้งบริษัททั้งที่ร่วมทุนเพื่อทำธุรกิจผลไม้ในไทย โดยเกือบไม่เหลือพื้นที่ให้ธุรกิจไทยดั้งเดิมได้เติบโตเลย
ละทิ้งนโยบายงบส่งเสริมการตลาดหรือค่าขนส่งให้เกษตรกร? ละทิ้งนโยบายตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าที่รัฐบาลก่อนๆ ได้ปูทางไว้ให้? แล้วอ้างนโยบายทุนนิยมตลาดเสรี เปิดประตูให้ต่างชาติแต่ทำให้เกษตรกรและธุรกิจสินค้าเกษตรที่กำลังวิกฤติ ให้ล้มหายตายจากไปในคราวเดียว เกษตรกรไทยจึงเป็นเพียงลูกจ้างเท่านั้น ส่วนผู้ประกอบธุรกิจเกษตรไทยก็เจ๊งจนแทบไม่เหลือ ใช่หรือไม่?
สำหรับนโยบาย 4.0 ที่ประกาศให้ต่างชาติมาช่วยด้านดิจิตอล ด้วยกับปรับกฎหมายและขยายตลาด อ้างให้เกิดการขยายตัวของตลาดดิจิตอลหรือตลาดออนไลน์ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่รู้เป็นความผิดพลาดจากการไม่เตรียมตัวของภาครัฐ หรือความจงใจบางอย่างกันแน่ ตลาดออนไลน์แบรนด์ไทยที่พึ่งเริ่มเกิดและกำลังเติบโต ผลที่เกิดขึ้นเมื่อทุนต่างชาติเข้ามา จึงกลายเป็นหยุดนิ่งหรือถูกกลืนกินจากมืออาชีพระดับโลก และป่าวประกาศว่านี่คือความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของรัฐบาลไทย ที่ทำให้เกิดการกระตุ้นตลาดออนไลน์ เป็นความสำเร็จบนความบาดเจ็บปางตาย แถมเป็นภาระของหน่วยงานจัดเก็บรายได้ที่ยังตั้งตัวไม่ทัน การซื้อขายปกติถูกถ่ายโอนสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ขณะที่ภาครัฐยังมีทีท่างงๆ จากรายได้ที่สูญเสียไป ทั้งการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมการทำธุรกิจต่างๆ เพราะบริษัทต่างชาติไม่ได้จดทะเบียนในไทย ก็สามารถประกอบธุรกิจและกอบโกยผลประโยชน์มากมาย ใช่หรือไม่? แถมทุกวันนี้ยังขาดหลักประกันการควบคุมคุณภาพสินค้าและคุ้มครองผู้บริโภค คงไม่มีใครคิดจะขัดเรื่องการพัฒนาและนำเทคโนโลยีมาพัฒนาภาคธุรกิจ คงมีแต่คำถามเรื่องที่ท่านคุยโวไว้มากว่าฝีมือและศักยภาพถึงขั้นจริงหรือเปล่า?
ต่อมาพูดถึงเรื่องโครงการเมกะโปรเจกท์การลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่จนแล้วจนรอดกว่า 3 ปี รถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น ใช่หรือไม่? ล่าสุดสิ่งที่เกิดคือการดึงทุนจีนเข้ามาร่วมด้วยงบฯที่รัฐไทยต้องจ่าย มูลค่าสูงน่าขนลุกไม่น้อย แต่เวลานี้คงไม่มีใครขวาง เพราะอย่างน้อยก็อยากให้เกิดขึ้นจริงเสียที เพราะฟังคำโฆษณามานานแล้ว ไม้เด็ดล่าสุดอยู่ที่อีอีซี –เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยประกาศโครงการขายฝันว่า จะเกิดผลบวกต่อภาคธุรกิจไทยทุกระดับ
จึงเร่งออกกฎหมาย พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งถือเป็นกฎหมายซุปเปอร์พิเศษจริงๆ ว่ากันตั้งแต่ประเด็นการเช่าที่ดิน โดยกำหนดให้ขยายสิทธิ์แก่ต่างชาติถือครองที่ดินจากเดิม 50 ปี เป็น 99 ปี สำหรับประเด็นการเช่าที่ดิน 99 ปี มีการโยนหินถามทางมาแล้วหลายครั้ง ถ้ายังจำได้ ความพยายามเปิดช่องให้ต่างชาติเช่าที่ดิน คุ้นๆว่าเคยมีขึ้นยุครัฐบาลระบอบทักษิณ ใช่หรือไม่? โดยขณะนั้นถูกต่อต้านอย่างหนักว่าเป็น รัฐบาลขายชาติ และที่สุดนโยบายถูกล้มไป แต่นโยบายนี้กำลังจะสำเร็จในยุครัฐบาลนี้อย่างเงียบๆ หรือไม่? โดยประชาชนยังไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนแต่อย่างใด? ที่เมื่อหลายต่อหลายคนทราบก็ออกมาพูดกันว่า เป็นการเอาของไปเร่ขายถูกๆ แถมไม่เจรจาเรื่องผลประโยชน์ที่ดีพอ เพราะต้องเร่งปิดการเจรจาให้ได้ก่อนมีการเลือกตั้งด้วย ใช่หรือไม่?
โดยอ้างว่า อีอีซี เป็นการขับเคลื่อนโครงการลงทุนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเดินหน้าผลักดันให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว จึงจำเป็นต้องออกมาตรการพิเศษเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน ออกมาตรการที่พิเศษสุดๆ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ โดยจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมา ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดการลดแลกแจกแถมให้ใครเป็นพิเศษใช่หรือไม่?
จับตาช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่รัฐบาลคนกลางเริ่มเผยตัวเป็นนักการเมืองแล้ว การเมืองหลังเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร จึงต้องจับตาโค้งสุดท้ายของรัฐบาลนี้ ที่นอกจากมาตรการตีหัวเข้าบ้านในการแวะเยี่ยมเยียนกลุ่มก๊วนการเมืองฐานเก่าตามต่างจังหวัดแล้ว ยังจะต้องจับตามาตรการที่อ้างกระตุ้นเศรษฐกิจว่า จะช่วยเหลือประชาชนจริง หรือพ่วงนัยแอบแฝงช่วยธุรกิจใด กลุ่มทุนสนับสนุนใดหรือไม่? และยังต้องจับตากลุ่มธนาคารรัฐและรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่จะมีการเคลื่อนไหวใด หรือสนับสนุนกิจกรรมใดเป็นพิเศษ หรือจะเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองหรือไม่?
หลังจากนี้คงมีคนจับตาดู ถ้าทำดีต้องชื่นชม แต่ถ้าทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีผลประโยชน์ทางการเมือง ก็ต้องตีแผ่กันต่อไป เรายังคงชื่นชมความมุ่งมั่นที่ดีของท่านนายกฯ แต่คงห้ามความสงสัยของประชาชนต่อคนรอบข้างนายกฯไม่ได้ และนายกฯก็ไม่จำเป็นต้องออกโรงปกป้องทุกคนที่อยู่รอบตัว.....
……………………
“...ที่ประหลาดพิกลที่สุด หยั่งคำนวณไม่ออกที่สุดในโลกนี้ ก็คือหัวใจของมนุษย์นี่เอง หัวใจของบุรุษและสตรีต่างเป็นเช่นเดียวกัน...”คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาบจอมภพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี