ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ คือทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์กำลังดำเนินการเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพิกถอนคำสั่ง คสช. ที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 44 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับพรรคการเมือง
กระบวนการในการนำเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญอาจกระทำได้หลายวิธี และแม้ว่าจะมีข้อจำกัดหลายประการ แต่คาดหมายว่าด้วยสติปัญญาความสามารถของพรรคการเมืองใหญ่คงจะสามารถขับเคลื่อนจนเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญได้
ดังนั้นจึงต้องจับตามองกันให้ดี เพราะผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้จะมีผลกระทบที่หนักหน่วงรุนแรงทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย โดยเฉพาะคือ ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกไปทางใด ผลกระทบแต่ละทางก็มีความหนักหน่วงรุนแรงไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย
ก่อนอื่นก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันนั้นกำหนดชั้นกฎหมายเป็นสามชั้น คือ รัฐธรรมนูญ,กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติ โดยในอดีตเคยมีคำวินิจฉัยศาลฎีกาวางบรรทัดฐานไว้ว่า คำสั่งของคณะปฏิวัติมีฐานะเท่ากับพระราชบัญญัติ ซึ่งศาลฎีกาได้ถือแนวบรรทัดฐานนี้ตลอดมา
และโดยบรรทัดฐานตลอดจนนิติประเพณีในประเทศไทยถือว่าคณะปฏิวัติเป็นรัฏฐาธิปัตย์ สามารถออกประกาศคำสั่งคณะปฏิวัติได้และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว รัฐธรรมนูญจะเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ คณะปฏิวัติย่อมสลายตัวไป หรือถ้ายังอยู่ก็ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญดังเช่นปัจจุบันนี้
รัฐธรรมนูญปัจจุบันบัญญัติให้ คสช.ที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ ณ เวลาที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ยังคงอยู่ต่อไปและให้มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว นั่นคือการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ 2557 ได้
ซึ่งการใช้อำนาจตามมาตรา 44 หลังจากรัฐธรรมนูญใช้บังคับแล้ว จึงนอกจากต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญมาตรา 44 แล้ว ยังคงต้องอยู่ภายใต้อำนาจบังคับแห่งรัฐธรรมนูญด้วย นั่นคือจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ มิฉะนั้นจะกลายเป็นโมฆะ ดังนั้นจึงมีข้อควรพึงสังวรว่าแม้ คสช. จะมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 44 แต่การใช้อำนาจนั้นย่อมแตกต่างกับก่อนที่จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และต้องระมัดระวังอย่าให้ผิดพลาดไปจากเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวบัญญัติไว้ และต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย
โดยเฉพาะจะต้องตระหนักว่ารัฐธรรมนูญนั้นประกาศใช้โดยประกาศพระบรมราชโองการและบรรดากฎหมายทั้งหลายภายหลังจากรัฐธรรมนูญใช้บังคับแล้ว ก็ตราขึ้นใช้โดยประกาศพระบรมราชโองการ ดังนั้นหากจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยหลักนิติประเพณีและราชประเพณีแต่ก่อนมา ก็พึงกระทำโดยการตราเป็นกฎหมายและประกาศใช้โดยพระบรมราชโองการ
ที่สำคัญคือปัจจุบันนี้ สนช.ทำหน้าที่ทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา เป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรากฎหมาย ตลอดจนแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายทั้งปวง จึงถือเป็นองค์กรหลักที่ไม่พึงก้าวล่วงในส่วนนี้เป็นอันขาด เว้นแต่กรณีจำเป็นฉุกเฉินเร่งด่วนที่ไม่อาจนำเสนอเป็นกฎหมายได้เท่านั้น
มิฉะนั้นหากทำการโดยไม่ยั้งคิด ก็อาจถูกติฉินนินทาได้ว่า เป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจหรือใช้คำสั่ง คสช. ไปลบล้างเปลี่ยนแปลงพระบรมราชโองการซึ่งไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง
ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า สนช. นั้นย่อมสนองการดำเนินงานของ คสช. เพราะตระหนักดีถึงภารกิจในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ดังนั้นหากร่างกฎหมายใดจำเป็นเร่งด่วน สนช.ก็สามารถสนองและดำเนินการอย่างรวดเร็วได้ อย่างมากก็ไม่เกิน 1 สัปดาห์ ก็สามารถพิจารณาเสร็จเรียบร้อยได้
นอกจากนั้น ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญชั่วคราวในมาตรา 44 ด้วยว่าหากจะมีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แล้ว ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งรัฐธรรมนูญอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เอะอะมะเทิ่งก็จะใช้อำนาจตามมาตรา 44 ได้ตามอำเภอใจ และที่สำคัญ ถ้าหากมีบทกฎหมายให้อำนาจฝ่ายบริหารที่จะใช้อำนาจได้โดยง่ายอยู่แล้วก็ย่อมไม่อาจใช้อำนาจตามมาตรา 44 ได้
ดังเช่นการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไม่ว่าส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคหรือส่วนท้องถิ่น แม้กระทั่งการให้พักราชการก็สามารถกระทำได้โดยอำนาจบริหารปกติ ดังนั้นหากมีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 โดยขาดการคำนึงอย่างรอบคอบแล้ว ก็อาจเป็นปัญหาขึ้นได้ในภายหลัง
คือเป็นทั้งปัญหาการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ และเป็นทั้งปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของการใช้อำนาจเช่นว่านั้น และผู้ที่จะต้องรับผิดชอบก็หาใช่ใครอื่นไม่ หากเป็นหัวหน้า คสช. หรือ คสช. ที่ร่วมพิจารณานั้น และต้องตระหนักว่าวันเวลาแห่งอายุความนั้นบางกรณียาวนานถึง 20 ปี แล้วเรื่องอะไรที่จะเสี่ยงกับความรับผิดชอบโดยไม่จำเป็น
ดังนั้นจึงเป็นที่น่าวิตกว่าพรรคการเมืองหรือนักการเมือง รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจตามคำสั่ง คสช. หากว่าได้มีการดำเนินการเพื่อขอเพิกถอนคำสั่งหรือดำเนินการประการอื่นที่ต่อเนื่องกันไปแล้วก็อาจเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง
จึงเป็นข้อควรระวังประการหนึ่งที่ต้องตระหนักไว้ให้จงดี เพราะอำนาจนั้นมีคุณอนันต์ก็จริง แต่ก็มีโทษมหันต์แฝงตัวอยู่ด้วย ดังนั้นคำเตือนในเรื่องเหล่านี้แม้เปรียบเหมือนยาขมในยามมีอำนาจ แต่เมื่อถึงวันเวลาหนึ่งก็ต้องอย่าให้ทอดถอนใจแล้วรำพึงว่า “ฟังคำเตือนเสียก่อนก็คงไม่เกิดเหตุอย่างวันนี้” ดังที่ผู้มีอำนาจหลายคนเคยประสบมาแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี