ขณะนี้ ประเด็นตรวจสอบนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกกระพือไปไกล
1. ในโลกออนไลน์ มีการตามขุดคุ้ยนาฬิกาที่ปรากฏบนข้อมือพลเอกประวิตร แต่ไม่มีการแจ้ง ป.ป.ช. ล่าสุด ยอดทะลุขึ้นไปเกือบ 2 โหลแล้ว
มูลค่ารวมตามราคาในท้องตลาด อาจจะถึง 30 ล้านบาท
นับเป็นรายการทรัพย์สินที่มีนัยสำคัญ อันจะต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.
2. ในทางกฎหมาย หากเป็นทรัพย์สินที่พลเอกประวิตรได้มาหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2557 ก็คงไม่แปลกใจที่ยังไม่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นเมื่อคราวเข้ารับตำแหน่ง
เหมือนอย่างคุณยิ่งลักษณ์ หรือรัฐมนตรีในทุกยุค ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาหลังเข้ารับตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนนาฬิกา กระเป๋าหรู ก็จะต้องแจ้ง ป.ป.ช.เมื่อถึงคราวพ้นจากตำแหน่งออกไป
แต่กรณีพลเอกประวิตร เมื่อสังคมครหาสงสัย และขณะนี้ ป.ป.ช.ได้เข้ามาตรวจสอบแล้วโดยไม่รอถึงคราวพ้นจากตำแหน่ง พลเอกประวิตรก็มีหน้าที่จะต้องชี้แจง บิดพลิ้วไม่ได้
3. ที่น่าสนใจ คือ เมื่อ ป.ป.ช.ตรวจสอบแล้ว ก็จะต้องตรวจสอบให้สุดซอย
จะตรวจสอบครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้
ประเด็นตรวจสอบทรัพย์สินเบื้องต้นว่า มีกี่รายการ แล้วมูลค่าเท่าไหร่? ได้มาเมื่อไหร่? อย่างไร ? เหตุใดไม่แสดงในบัญชีที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.
ประเด็นเท่านี้ ไม่จบ
เพราะจะต้องตรวจสอบย้อนกลับไปถึงที่มาของทรัพย์สินเหล่านั้นด้วยว่า ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นยื่นในบัญชี มูลค่าเท่าไหร่ แล้วได้มาอย่างถูกต้องสมเหตุสมผลไหม หรือเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติหรือไม่?
ลองพิจารณาบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร ตั้งแต่การดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2551 – 2557
ธ.ค. 2551 ยื่นบัญชี กรณีรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีทรัพย์สินรวม 56 ล้านบาท จำแนกเป็นเงินฝาก 25,213,889 บาท เงินลงทุน 8,542,116 บาท (กองทุน เคพันธบัตรเกาหลี และ เงินลงทุนบริษัทจดทะเบียนในบริษัท ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด) ที่ดิน 12 ล้านบาท (2 แปลง เนื้อที่ 4-0-44 ไร่) โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10,000,000 บาท (บ้าน 1 หลัง)ไม่มีนาฬิกาหรู เป็นต้น
ส.ค. 2554 กรณีพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีทรัพย์สินรวม 69 ล้านบาท จำแนกเป็นเงินฝาก 36,082,730 บาท เงินลงทุน 11,486,686 บาท (เงินลงทุนบริษัท ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด) ที่ดิน 12 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10 ล้านบาท ฯลฯ
ส.ค. 2555 กรณีพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ครบ 1 ปี มีทรัพย์สินรวม 79 ล้านบาท จำแนกเป็น เงินฝาก 28,843,256 บาท เงินลงทุน 23,120,158 บาท ที่ดิน 17 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10,000,000 บาท ยานพาหนะ (รถยนต์ 1 คัน) 100,000 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่น ไม่มีหนี้สิน
เทียบกับการยื่นบัญชีฯ ปี 2551 เท่ากับมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 22 ล้านบาท เป็นเงินฝากเพิ่มขึ้น 3,629,366 บาท เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 14,578,041 บาท ที่ดินเพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท
ก.ย. 2557 รับตำแหน่ง รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 87 ล้านบาท จำแนกเป็น เงินฝาก 53,197,562 บาท เงินลงทุน 7,076,195 บาท ที่ดิน 17 ล้านบาทโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10 ล้านบาท ฯลฯ ไม่แจ้งนาฬิกาหรู
หากเทียบกับการยื่นบัญชีฯ เมื่อปี 2551พบว่า มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท
โดยส่วนใหญ่เป็นเงินฝากเพิ่มขึ้น 27.9 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้ ยังไม่นับรวมมูลค่าของนาฬิกาหรูที่กำลังเป็นข่าวโครมคราม
เพราะฉะนั้น ป.ป.ช.ก็ต้องฟังคำชี้แจงของพลเอกประวิตร แล้วนำไปพิจารณาไต่สวนต่อไปด้วยว่า นาฬิกาเหล่านั้นมีที่มาอย่างไร? หรือจะเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่น หากบอกว่าตนเองซื้อมาทั้งหมด มูลค่าเกือบ 30 ล้าน ก็จะต้องชี้แจงต่อไปด้วยว่า เงินที่เอามาซื้อมาจากรายได้ส่วนไหน หรือแปรสภาพจากทรัพย์สินส่วนไหน ที่มาของรายได้ที่นำมาซื้อมาอย่างไร?
หากบอกว่า เพื่อนให้ยืม ป.ป.ช.ก็จะต้องพิสูจน์ความสมเหตุสมผล แล้วยังจะเป็นประโยชน์ต่อไปยังเพื่อนด้วยว่า ได้รับผลประโยชน์ต่างตอบแทนอะไร? หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผลประโยชน์ของรัฐหรือไม่? เช่น มีสัมปทานกับรัฐหรือไม่? มีการให้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้หรือไม่? ฯลฯ
4. ประการสำคัญ การตรวจสอบแหล่งรายได้ที่นำมาซื้อนาฬิกา (หากแจงว่าซื้อมา) คงต้องตรวจสอบเทียบเคียงกับฐานการเสียภาษีในแต่ละปี
เพื่อจะพิสูจน์ว่า มีรายได้จากไหนมาซื้อนาฬิกา? มิใช่นาฬิกาที่มาจากการทุจริต
การยังไม่แจ้งบัญชี จึงยังไม่ใช่ความผิดสำเร็จแต่อย่างใด เพราะยังไม่ถึงกำหนดแจ้ง
แต่การพิสูจน์ที่มาของนาฬิกา คือ ปมปัญหาสำคัญ
และหากแจงว่า นาฬิกาหรูเป็นของเพื่อนนักธุรกิจ ก็จะเหมือนโยนเผือกร้อนไปที่เพื่อนนักธุรกิจคนดังกล่าว
ป.ป.ช. จะต้องตรวจสอบไปที่กิจการของเพื่อนดังกล่าวด้วยว่า ได้รับประโยชน์อย่างไรกับอำนาจรัฐในช่วงที่พลเอกประวิตรอยู่ในตำแหน่งหน้าที่หรือไม่? แค่ไหน? อย่างไร?
น่าคิดว่า นอกจากพลเอกประวิตรแล้ว จะมีนักการเมืองคนอื่นที่มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น แล้วน่าสงสัยว่าเพิ่มมาจากฐานรายได้ส่วนไหน อย่างไร อีกหรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี