เป็นท่าทีที่ชัดเจนมาตลอด ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่จะไม่อธิบายเรื่อง “นาฬิกา” เรือนต่างๆ ที่สวมออกงาน ทั้งกับสื่อมวลชนและกับประชาชน แต่พร้อมที่จะอธิบายกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ในการตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ถามว่าผิดไหม ที่ พล.อ.ประวิตร เลือกจะมีท่าทีเช่นนั้น ตอบเลยว่า “ไม่ผิด” แต่เป็นวิธีที่จะไปกิน “ต้นทุน” ของคนอื่นๆ
1) เมื่อ พล.อ.ประวิตรเลือกที่จะไม่ตอบกับสื่อและประชาชน แต่เลือกจะตอบกับ ป.ป.ช. ก็มีคนโยงใยว่า ประธาน ป.ป.ช. เคยทำงานกับน้องชายของท่าน สนิทชิดเชื้อกันกับท่านจะเอาจริงเอาจังที่จะตรวจสอบหรือช่วยกัน ให้ตามจับ
2) ส่วนตัวผมเอง ไม่ติดใจเลย เพราะการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินเป็นเรื่อง “วิทยาศาสตร์” ไม่ใช่เรื่อง “ความเชื่อ” นาฬิกาจะกี่เรือนก็ตาม มันต้องสำแดงความเป็นเจ้าของและที่มาได้ ว่าซื้อมาจากไหน ราคาเท่าไร ใบรับประกัน และหลักฐานการซื้อมีไหม หาได้ไม่ยาก บิดเบือนไม่ได้ แถมการตรวจสอบ ยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของ “เจ้าหน้าที่” ใน ป.ป.ช. ไม่ใช่ตรวจโดย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช.จะรักษาองค์กรมากว่าตัวบุคคล และรู้ว่า คำอธิบายที่สังคมจะมาคาดคั้นต่อจาก ป.ป.ช. หนักหน่วงเพียงใด หลังจาก พล.อ.ประวิตร ไม่ตอบอะไรใคร นอกจากจะตอบกับ ป.ป.ช.เท่านั้น
3) เพียงแต่เมื่อนาฬิกามันมากเรือนเข้า ไม่ตอบนานเข้า มีคนมาพูดแทนบ้าง ว่า “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” คนก็เห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ “เป็นไปได้” และในการตรวจสอบ ก็ต้องสอบไปถึงเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง ซึ่งก็อย่างที่บอก มันตรวจสอบกันเป็นวิทยาศาสตร์ได้ ไม่ซับซ้อน ดังนั้น คำชี้แจงของ ป.ป.ช.ที่มีต่อสังคม ต้องมีน้ำหนัก เหตุผล มากพอที่สังคมจะเชื่อ เพราะเวลานี้ สังคม “ถูก” ปลูกฝังความไม่เชื่อลงไปในใจ วันละเล็กวันละน้อย และในที่สุดจะก็เป็นคำติดปาก ที่คนไม่สนใจแล้วว่าจริงหรือเท็จ เหมือนกรณี ว.5 ของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
4) อย่างไรก็ดี ล่าสุด 16 มกราคม 2561 พล.อ.ประวิตร ก็ยอมปริปากเปิดเผยออกมาแล้ว ว่า หากการตรวจสอบของ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าตัวเองมีความผิดจากเรื่องนาฬิกาหรู ก็พร้อมจะลาออกจากตำแหน่ง โดยชี้แจงว่า นาฬิกาทุกเรือนที่ปรากฏ เป็นนาฬิกาที่แลกกันใส่กับเพื่อนและนำไปคืนทุกครั้ง ส่วนกระบวนการตรวจสอบปล่อยให้เป็นกระบวนการของ ป.ป.ช. ซึ่งตัวเองไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้อย่างแน่นอน ยอมรับว่าไม่รู้สึกเสียใจหรือกังวลใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
5) หนึ่งวันก่อน พล.อ.ประวิตร จะยอมปริปาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)ได้กล่าวถึงกรณีที่สังคมตั้งข้อสงสัยถึงนาฬิกาของพล.อ.ประวิตรว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน โดยก่อนอื่นต้องพิสูจน์ว่านาฬิกามีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าจริงต้องอธิบายว่าเป็นของใคร และถ้ามั่นใจในคำชี้แจงก็ไม่มีอะไรเสียหายที่จะบอกต่อสาธารณชน แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ ตอนนี้เรื่องยืดเยื้อและประชาชนไม่พอใจ พลันจะลามไปถึงนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะเป็นเรื่องอื้อฉาวที่กระทบต่อภาพลักษณ์
อย่างไรก็ตาม ถ้ายังจำกันได้ในสมัยที่ตนเป็นรัฐบาล เพียงแค่เกิดเรื่องราวขึ้นยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ เช่น กรณีของ นายวิทยา แก้วภราดัย ที่ต้องลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากกรณีข้อสงสัยการทุจริตในโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการ “ไทยเข้มแข็ง 2555” หรือกรณี นายวิฑูรย์ นามบุตร ยังขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหา ซึ่งตนจำคำพูดของนายวิทยาบอกได้ว่า “ผมไม่อยากเป็นภาระของรัฐบาล”
6) ประเด็นของนายอภิสิทธิ์นั้น “หนักหน่วง” สำหรับ พล.อ.ประวิตร อยู่ไม่น้อย เพราะเป็นการเอา “มาตรฐาน” ของ “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ในอดีต มาชี้วัด ในขณะที่พล.อ.ประวิตร นั้น อยู่ในยุคที่รัฐบาลเคยใช้คำว่า “ธรรมาภิบาล” ไปข่มหรือจะเรียกว่า “ด่านักการเมือง” อยู่บ่อยๆ ก็ได้ เพียงแต่ไม่ใช่การกระทำของ พล.อ.ประวิตร แต่เป็น “คำถามของพล.อ.ประยุทธ์” ที่เคยตั้งขึ้นแล้วให้ประชาชนไปตอบที่ศูนย์ดำรงธรรม ซึ่งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่า เป็นคำถามที่บังคับคำตอบเอาไว้แล้ว และเป็นคำถามแบบ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” แรงกดดันจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงหนักมาก คล้ายๆ กับเรียกร้อง “สำนึก” ของ “พี่ป้อม” ที่มีต่อ “น้องตู่” หรือไม่งั้น “บิ๊กตู่” ซึ่งเป็นหัวหน้าสูงสุด คงต้องสร้าง “บรรทัดฐาน” ของการมี “ธรรมาภิบาล” ให้เห็น
7) แน่นอน พล.อ.ประวิตร ยังไม่ได้ถูกตัดสินว่า ถูก หรือผิด แต่พอนายอภิสิทธิ์ไปยกเอา “นักการเมืองที่มีสปิริต” มาอ้างอิง เรื่องนี้ก็ไม่ง่าย ทั้งกับ “พี่ป้อม” และ “น้องตู่” เสียแล้ว
8) ยิ่งถ้าดู “บรรทัดฐานเดิม” ของ บิ๊กตู่ การเอาชื่อข้าราชการก็ดี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ดี ใส่ไว้ในบัญชีเพื่อการตรวจสอบทุจริต โดยใช้ ม.44 รองรับ อันเป็นการ “พักงานก่อน ปลดก่อน ย้ายก่อน แล้วตรวจสอบทีหลัง” ก็ยิ่งเกิดคำถามว่า เฮ้ย! เก่งเฉพาะกับข้าราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้นหรือ จะใช้บรรทัดฐานเดียวกันนี้กับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมบ้างหรือเปล่าล่ะ?
9) ยิ่งถ้ามาดูการใช้อำนาจปลด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ้นจากตำแหน่งแล้ว ก็อยู่ในข่าย “ปลดก่อน ตรวจสอบทีหลัง” แถมยังตั้ง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. แทนทีเลย ทำงานเลย อีกต่างหาก จะเอามาตรฐานแบบนี้ มาใช้กับ พล.อ.ประวิตร บ้างไหม หรือจะยอมให้สังคมกล่าวหาว่า “ลุงตู่สองมาตรฐาน” นี่เป็นเรื่องท้าทาย พล.อ.ประยุทธ์ มากเลยทีเดียว
10) วันที่ 27 พฤษภาคม 2560 พล.อ.ประยุทธ์ เคยตั้งคำถามกับประชาชนทั่วประเทศว่า 1.เลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2.หากไม่ได้จะทำอย่างไร เราเริ่มจากรัฐบาลปัจจุบันกันเลยดีไหมครับ ด้วยการตั้งคำถามว่า กรณีนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีธรรมาภิบาลหรือไม่ ถ้าไม่มี ควรทำอย่างไร
11) เราคาดหวังเสมอมา ว่าจะใช้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เป็นบรรทัดฐานในการเรียกร้องแนวการปฏิบัติจากรัฐบาลหลังการเลือกตั้งในอนาคต เราจะพึ่งพา “ความมีมาตรฐาน” ของรัฐบาลนี้ได้ เพราะ “ลุงตู่เป็นคนดี” ในขณะที่ลุงตู่กล่าวตำหนิ “นักการเมือง” แบบเหมาหมด ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เราเชื่อเสมอว่า มาตรฐานของท่านจะสูงกว่า
12) แต่เวลานี้ ดูเหมือนมาตรฐานของ วิฑูรย์ นามบุตร, วิทยา แก้วภราดัย หรืออีกคนที่นายอภิสิทธิ์มิได้กล่าวถึงก็คือ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ซึ่งก็ลาออกจากการเป็นผู้ว่าฯ กทม. เหมือนกัน จากกรณีโดนหางเลขเรื่องเรือและรถดับเพลิง ซึ่งท่านไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย เป็นแต่เพียงต้องปฏิบัติตามพันธกิจที่คั่งค้างมาจากผู้ว่าฯ สมัคร สุนทรเวช แต่ท่านก็ลาออก ให้กระบวนการตรวจสอบทำงานไป สุดท้ายท่านก็ “ไม่ผิด” แต่ท่านก็ไม่ได้เรียกตำแหน่งคืน เช่นเดียวกับนายวิฑูรย์และนายวิทยาเช่นกัน ที่เมื่อแสดงสปิริตแล้ว ก็ไม่เคยงอแงแม้ผลการตรวจสอบจะออกมาว่าตนไม่ผิด นี่คือ “บรรทัดฐาน” ที่มีคนสร้างเอาไว้ ลุงตู่จะเอายังไง จะอยู่ในระดับ “รอให้ตรวจสอบก่อนว่าผิดค่อยจัดการ” ก็จะไปขัดหรือแย้งกับ ม.44 ที่ท่านเคยใช้กับข้าราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีก โอ๊ย!! ปวดหัวแทนจริงๆ
ต้องระวังนิดหนึ่งนะครับ ลุงตู่ ระวังว่า รัฐบาลของท่านจะ “หมดเวลา” เพราะ “นาฬิกาที่พี่ป้อมยืมเพื่อนมาใส่”
แต่ผมเชื่อว่า เรื่องนี้ ล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ แต่กินชิพเกือบจะหมดหน้าตัก
แล้วเรื่องอะไรล่ะ ที่จะนำท่านตกลงมาจากหลังเสือ หากว่าท่านนิ่งนอนใจ (ซึ่งดูแล้วท่านไม่ได้นิ่งนอนใจ) คือ เรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
แม้ระดับบน ตัวเลขเศรษฐกิจจะเริ่มสวยแล้ว แต่ระดับปากท้องของคนชั้นล่าง มันยังย่ำแย่อยู่มาก ซึ่งท่านรู้ และตื่นตัวมากที่จะแก้ไขมันอย่างชุลมุนอยู่ในตอนนี้
หากแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ฟางเส้นสุดท้ายที่คนจะกระโดดคว้าก็คือ “การเลือกตั้ง” เสียงเรียกร้องให้รีบจัดการเลือกตั้งใหม่จะดังระงมขึ้น ถึงเวลานั้น ไม่ว่าท่านจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม คงยากแล้วที่จะหลีกเลี่ยงได้ และดูเหมือนท่านก็รู้สถานการณ์ดี เวลานี้จึงมีคนจับตาว่า ท่านจะทำอย่างไร ระหว่างใช้องคาพยพของแม่น้ำสายต่างๆ ทำทีเป็นขัดแย้งกันเรื่องกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ จนบางฉบับออกได้ล่าช้า หรือบางฉบับต้องตกไป โดยที่เมื่อไปดูรัฐธรมนูญ ก็ไม่พบว่าให้ปฏิบัติอย่างไร ช้าเร็วแค่ไหน หากเกิดกรณีที่ว่านั้น
กับอีกทางหนึ่ง คือปูทางเพื่อให้ท่านกลับมาเป็นนายกฯ อีกหน หลังการเลือกตั้ง แต่การเป็นนายกฯ ในขณะนั้นจะไม่ง่ายเหมือนในขณะนี้ แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่าง “กำหนด” ให้ท่านต้องเป็น
ดูกันครับ ว่าท้ายที่สุด จะออกมาในทางโรดแมปเลื่อนด้วยอุบัติเหตุทางกฎหมาย หรือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ จนคนไม่เรียกร้องการเลือกตั้งแล้ว เพราะขี้เกียจกลับไปทะเลาะกันเหมือนเดิม จนไม่ต้องใช้หนทางที่สอง คือ ปูทางกลับมาเป็น “นายกฯคนนอก”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี