ในขณะที่กว่าร้อยประเทศทั่วโลกเข้าร่วมยุทธศาสตร์การเชื่อมต่อการพัฒนาระหว่างประเทศตามยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันของประเทศทั้งหลายทั่วโลก และประเทศทั้งหลายย่อมมีอิสระอย่างเต็มที่ในการพิจารณาถึงประโยชน์ของตนว่า สมควรเข้าร่วมหรือไม่นั้น
ประเทศไทยของเราดูเหมือนว่ากำลังถอยห่างออกมาจากที่ได้ริเริ่มร่วมมือกับยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมในห้วงเวลาแรกของการสถาปนาอำนาจของ คสช. และยิ่งนานวันก็ดูเหมือนว่าจะเกิดความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ระหว่างประเทศกับกลุ่มประเทศที่เข้าร่วมมากขึ้นโดยลำดับ จนอาจเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชนชาวไทยในวันข้างหน้า
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้กันอย่างลึกซึ้งสักครั้งหนึ่งเผื่อว่าจะมีการทบทวนความคิด และโครงการหลายโครงการที่อาจถลำตัวลึกลงไปและอาจจะก่อภัยอันตรายใหญ่หลวงให้แก่ประเทศชาติและประชาชน ที่สำคัญคือ ที่จะนำพาประเทศชาติลงเหวจนกลายเป็นประเทศที่ถูกกะลาครอบไว้คือติดต่อค้าขายกับใครไม่ได้ ยกเว้นแต่กับบางประเทศที่คนบางจำพวกหมายมั่นปั้นมือที่จะให้ประเทศไทยกลายเป็นเมืองขึ้นของชาตินั้น
ก่อนอื่นต้องเชิญชวนปวงชนชาวไทยได้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ประเทศต่างๆ ตั้งแต่ยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง รัสเซีย เรื่อยมาถึงทวีปเอเชียอันกว้างใหญ่ไพศาล โดยมีกว่าร้อยประเทศเข้าร่วมยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมนั้น มิได้เกิดขึ้นเพราะใครบังคับใครและไม่มีใครจะบังคับประเทศกว่าร้อยประเทศได้ จึงเป็นเรื่องแต่ละประเทศตัดสินใจโดยอิสระโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศตนเป็นสำคัญทั้งสิ้น
และประเทศเหล่านั้นย่อมไม่มีประเทศใดโง่เขลาเบาปัญญาหรือมีจิตใจฝักใฝ่เป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่น เพราะจำนวนมากเป็นประเทศที่อารยะแล้ว หลายประเทศก็เป็นมหาอำนาจที่เจริญรุ่งเรือง แม้ประเทศในอาเซียนของเราก็ล้วนมีผู้นำที่ปรีชาสามารถและชาญฉลาดในการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ชาติและดูแลผลประโยชน์ประชาชน ทั้งไม่มีทางยอมตนตกกลายเป็นประเทศราชของชาติอื่นโดยเด็ดขาด
ดังนั้นพอกันทีต่อการกล่าวหาอย่างโคมลอยและคล้อยตามปฏิบัติการจิตวิทยาเมืองขึ้นที่ว่า ประเทศลาวก็ดี พม่าก็ดี กัมพูชาก็ดี ถูกประเทศจีนครอบงำในการเข้าร่วมโครงการเส้นทางสายไหม และพอกันทีที่จะอวดอ้างอย่างผิดๆ ว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ฉลาดกว่าใครในโลกจึงพยายามถอยห่างออกมาจากโครงการเส้นทางสายไหมทั้งหลาย
ความจริงต้องระมัดระวังด้วยซ้ำไปว่าเราอาจจะกลายเป็นประเทศที่มีปัญหาอะไรบ้างจึงมีปัญหาในการเข้าร่วมกับยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม ทั้งๆ ที่ตอนเริ่มต้นแห่งอำนาจของ คสช. ประเทศไทยก็เดินหน้าเต็มสูบในการเข้าร่วมกับยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมถึงสองโครงการใหญ่ คือ
โครงการแรกเป็นโครงการเชื่อมต่อทางรถไฟไทย-จีน เชื่อมต่อประเทศไทยเข้ากับระบบคมนาคมทางรถไฟทั่วโลก โดยจะเชื่อมต่อโครงการรถไฟในเส้นทางสายไหมระหว่างจังหวัดหนองคายกับนครเวียงจันทน์ ซึ่งจะเชื่อมตรงไปยังนครคุนหมิงและเชื่อมต่อไปยังทั่วประเทศจีนและทั่วโลก
สำหรับภายในประเทศก็จะมีการสร้างรถไฟทางคู่สามเส้นทาง คือ หนองคาย-โคราช, โคราช-กรุงเทพฯ และแก่งคอย-มาบตาพุด ซึ่งมีการลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศกันเรียบร้อย โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาคือ สนช. เรียบร้อยแล้ว โดยฝ่ายจีนจะช่วยซื้อข้าว 2 ล้านตัน และยางพาราอีก 2 แสนตัน ซึ่งเป็นการช่วยแก้วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนั้น
และหลังจากนั้นก็มีการจัดทำแผนในการก่อสร้างทางรถไฟ ซึ่งเป็นระบบทางคู่ ระบบรางมาตรฐานกว้าง 1.435 เมตร และจะเปิดเดินรถกรุงเทพฯ-โคราช และแก่งคอย-มาบตาพุดได้ภายในสิ้นปี 2561 ส่วนที่เหลือจะแล้วเสร็จและเปิดการเดินรถได้ภายในปี 2562
โครงการที่สอง เป็นโครงการเชื่อมต่อการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าของภาคีสมาชิกกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ล้านช้าง ซึ่งมีประชากร 2,200 ล้านคน นับเป็นตลาดขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลกที่จะอำนวยประโยชน์และความมั่งคั่งแก่ประชากรสองฝั่งแม่น้ำโขง โดยนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้ร่วมลงนามในปฏิญญาซันย่าที่มณฑลไหหลำประเทศจีน
โครงการนี้โดยสรุปคือการขุดลอกเกาะแก่งในแม่น้ำโขง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรรมสิทธิ์ของพม่าและลาวเพื่อให้การเดินเรือขนาดใหญ่มีความปลอดภัย และให้มีการปล่อยน้ำจากประเทศจีน ลาว และพม่าเพื่อให้สามารถเดินเรือได้ตลอดทั้งปี
แต่ต่อมาก็มีอาการบูดเบี้ยวเกิดขึ้น โครงการรถไฟไทย-จีน ที่เริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่ก็กลายเป็นบ้องกัญชา เพราะได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงการเดิมจนหมดสิ้น และในที่สุดจีนก็ทำหน้าที่แค่ออกแบบและดูแลระบบสัญญาณ ส่วนไทยรับผิดชอบการก่อสร้าง และได้ดำเนินการบันลือลั่นสนั่นโลกให้เป็นที่ยิ้มหัวกันทั่วโลกด้วยการเริ่มต้นก่อสร้างช่วงแรกระยะทาง 3.5 กิโลเมตร โดยใช้หน่วยงานที่ไม่มีหน้าที่ในการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไปดำเนินการ
และระยะทาง 3.5กิโลเมตรนั้นคาดจะแล้วเสร็จสิ้นปี 2561 จากนั้นจะสร้างระยะที่สองประมาณ 10 กิโลเมตร คาดจะแล้วเสร็จในสิ้นปี 2562 จากนั้นจะสร้างต่ออีก 100 กิโลเมตร ไปถึงโคราช คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 จากนั้นก็สร้างระยะสุดท้ายมายังกรุงเทพฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จในสิ้นปี 2564 ซึ่ง ณ เวลานั้นเส้นทางสายไหมทางบกจีน-อาเซียน ระหว่างจีนกับประเทศอื่นเปิดวิ่งกันสนั่นหวั่นไหวไปแล้ว
หากเป็นไปตามแผนดังกล่าวก็ยังเป็นที่น่าวิตกว่าเส้นทางรถไฟดังกล่าวเป็นแค่เส้นทางรถไฟภายในประเทศที่เชื่อมต่อกับใครไม่ได้ และจะทำให้ประเทศไทยล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้านแม้กระทั่งกับประเทศลาว คงต้องรอคอยผู้มีบุญมาโปรดเพื่อให้ประเทศไทยพ้นจากชะตากรรมเช่นนี้
ณ วันนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าแม้กระทั่งถึงสิ้นปี 2564 ประเทศไทยก็ไม่สามารถเชื่อมต่อทางรถไฟกับเส้นทางสายไหมได้เลย
ส่วนโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงเล่า หลังจากลงนามในปฏิญญาซันย่าไปแล้วก็เกิดอาการบูดเบี้ยวขึ้น ทำให้ฉายาประเทศจอมเบี้ยวก้องกระหึ่มไปในโลกกว้างอีกครั้งหนึ่ง เพราะในขณะที่บรรดาภาคีสมาชิกร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง แต่ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะเข้าร่วม อ้างว่าต้องรอผลการศึกษาสภาพแวดล้อมก่อน ซึ่งจะรอกันกี่ปีกี่ชาติก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้ แต่ที่แน่ๆ คือบรรดาประเทศภาคีสมาชิกเขารับรู้กันแล้วว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น
ดังนั้นเพื่อรักษาประโยชน์ของภาคีสมาชิกอีก 5 ชาติเขาจึงตกลงกันพัฒนาพื้นที่ที่อำนวยประโยชน์กันและกันแบบทวิภาคี และไตรภาคี ที่สำคัญคือ
ประการแรก จีน-ลาวจะร่วมมือกันพัฒนาให้ประเทศลาวเป็นศูนย์กลางการคมนาคมระหว่างจีนกับอาเซียนตอนบน โดยผ่านลุ่มแม่น้ำโขงและเส้นทางรถไฟสายคุนหมิง-เวียงจันทน์ รวมทั้งจะขยายการคมนาคมทางอากาศระหว่างลาวกับมณฑลต่างๆ ของจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความได้เปรียบให้แก่ลาวมากขึ้น และย่อมกระทบต่อการใช้น่านฟ้าของประเทศไทยที่หากจะต้องผ่านประเทศลาว
ประการที่สอง จีน-เวียดนามจะร่วมมือกันพัฒนาให้เวียดนามเป็นศูนย์การค้าพืชผลทางการเกษตรระหว่างจีนกับอาเซียนโดยผ่านทางด่านผิงสิงก่วน ของมณฑลกวางสี และให้มีการลดอัตราภาษีจาก 15% เหลือเพียง4% ซึ่งจะกดดันจนประเทศไทยไม่มีทางที่จะค้าขายพืชผลทางการเกษตรกับประเทศจีน หรือแม้จะค้าขายก็ต้องกดราคาซื้อในประเทศให้ต่ำลงถึง 30% ในอนาคต จะกระทบต่อเกษตรกรในภาคเหนือและภาคอีสานอย่างรุนแรงที่สุด
นอกจากนั้นจะร่วมกันพัฒนาให้เวียดนามเชื่อมต่อเส้นทางสายไหมจากจีนผ่านเข้าสู่กัมพูชา เพื่อไปเชื่อมต่อกับประเทศอาเซียนตอนล่างที่เมืองสีหนุวิลล์ของกัมพูชา
ประการที่สาม จีน-กัมพูชาจะร่วมมือกันพัฒนาให้กัมพูชาเป็นศูนย์กลางการบินระหว่างจีน-อาเซียน โดยจะให้สายการบินจากมณฑลต่างๆของจีนบินเข้ามาที่กัมพูชาเพื่อไปสู่ประเทศอาเซียน และจะร่วมกันขยายสนามบินแห่งที่สองที่เมืองเสียมเรียบ ให้มีขนาดใหญ่เป็นสามเท่าของสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะมีผลต่อการขยายน่านฟ้าของกัมพูชาและย่อมกระทบต่อการใช้น่านฟ้าของประเทศไทยที่ถ้าหากประเทศไทยจะใช้น่านฟ้าของกัมพูชาในอนาคต
ที่สำคัญคือ จะร่วมกันพัฒนาจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าจีนกับอาเซียนตอนล่าง โดยจะมีการสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนที่เมืองสีหนุวิลล์เพื่อเป็นฐานเชื่อมต่อกับมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดขนาด 450 ล้านคน และมีการสร้างแลนด์บริดจ์แนวตะวันตก-ตะวันออก ทั้งในมาเลเซียและอินโดนีเซียคู่ขนานกันไปเพื่อเชื่อมต่อไปยังตะวันออกกลาง และแอฟริกาในอนาคต เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้เกิดขึ้นเมื่อใดก็ยากที่ EEC ของไทยที่มีแค่ประเทศไทยใช้อยู่แค่ประเทศเดียวไปแข่งขันได้
นี่คือผลโดยตรงที่เกิดขึ้นจากโครงการความร่วมมือยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมจีนที่บูดเบี้ยวไป และนี่คือเภทภัยของความคิดที่จะสร้าง Thailand Silk Road แข่งกับ Silk Road ของนานาชาติ ที่จีนเป็นผู้เสนอ และนี่คือหายนะที่กำลังมาเยือนประเทศไทยที่ใครก็ไม่รู้ต้องรับผิดชอบเต็มๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี