เปิดปีใหม่ยังไม่ทันกะพริบตาก็มีการอนุมัติงบก้อนใหญ่ที่หลายคนอาจจะยังไม่สังเกตเห็น ด้วยมูลค่าสูงกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นภาคต่อของงบบัตรสวัสดิการคนจนที่ออกเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งครั้งก่อนใช้งบไปแล้วกว่า 4.1 หมื่นล้านบาท โดยยังมีข้อสงสัยถึงประสิทธิภาพประสิทธิผลจากการใช้งบประมาณก้อนดังกล่าวว่า จะได้ผลในการปั่นกงล้อเศรษฐกิจ กระจายรายได้ ช่วยเหลือปากท้องอย่างที่กล่าวอ้างเพียงไหน? หรือปั่นได้แค่กงล้อเศรษฐกิจ แต่ยังไม่ทันได้ประเมินผลอย่างชัดเจนจากการใช้งบก้อนเดิม ก็มีการของบก้อนใหม่อีกมูลค่าพอๆ กัน ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาดูในรายละเอียดเอาเข้าจริงมีความน่าสนใจว่า ตลอดระยะเวลาของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มือเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.ได้ออกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ใช้เงินไปแล้วเท่าไหร่? ผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างไร และผลที่เกิดขึ้นจริงเป็นอย่างไร? ในขณะที่อีกด้าน ได้ออกโครงการหรือแก้ไขกฎระเบียบเพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดใหญ่ให้ร่ำรวยขึ้นมากเพียงใด? และภาพรวมของเศรษฐกิจที่โตขึ้นอยู่บนสมดุล หรืออยู่ด้านใดมากกว่ากัน? รัฐบาลจริงใจที่จะช่วยเศรษฐกิจฝั่งใดมากกว่ากัน? โครงการที่ใช้เงินมหาศาลบอกว่าไปกระตุ้นเศรษฐกิจเช่น การเยียวยาเกษตรกรที่ร่วมโครงการจำนำข้าวไร่ละ 1,000 บาท รวมวงเงินกว่า 39,506 ล้านบาท หรือการเยียวยาอุทกภัยพื้นที่ต่างๆ สำหรับโครงการประเภทนี้ ใครก็คงปฏิเสธความจำเป็นไม่ได้ว่า สำคัญกับปากท้อง ความเป็นอยู่ของประชาชนจริงๆ แต่ก็มีคนตั้งคำถามว่า ใช้เงินหรือใช้กึ๋นมากกว่ากัน? เพราะขณะที่ใช้งบประมาณมหาศาลขนาดนี้ ผลที่เกิดนอกจากชาวนาจะจนลง เป็นหนี้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังพบว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาการผลิตหรือปัญหาราคาสินค้าเกษตรได้ เอาเข้าจริงตลอดสามปีที่ผ่านมา ยังไม่มีโครงการใหม่ๆที่เป็นทางออกแก่เกษตรกรได้เลย หลายคนถึงกับวิจารณ์ว่า ถดถอยยิ่งกว่าโครงการประกันฯหรือจำนำฯ เสียอีก
นอกจากนี้ยังพบว่า มีการใช้งบประมาณอีกไม่น้อย โดยระบุว่าเพื่อสนับสนุนคนระดับฐานราก ระบุว่าผลักดันเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโต แต่ในระยะหลัง หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า แนวคิดต่างๆเริ่มผิดเพี้ยนไปจากเดิม มุ่งเข้าหาประชานิยมมากกว่าความยั่งยืนมากขึ้น ใช่หรือไม่? เช่น โครงการบ้านประชารัฐ โครงการเคหะประชารัฐ โครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ที่ดูจะสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย แต่เอาเข้าจริงผู้ได้ประโยชน์เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาฯที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจหรือไม่?
หรือโครงการลดแลกแจกแถมอื่นๆ ก็มีคนถามว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือวางแผนเพื่อแต้มบวกทางการเมืองบางอย่างในอนาคตของใครหรือไม่? อย่างโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ออกเมื่อปลายปีที่แล้ว ถือเป็นงบประมาณก้อนใหญ่ อันเป็นผลจากการเก็บบิ๊กดาต้า การขึ้นทะเบียนคนจนที่ก็ใช้งบฯมหาศาลในการเก็บข้อมูลแล้ว อย่างไรก็ตาม หากโครงการดีมีกึ๋น ใช้เงินเยอะแต่กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง ก่อให้เกิดการขยับตัวของภาคธุรกิจระดับฐานรากได้จริง กระตุ้นการใช้จ่ายรากหญ้าได้จริง ก็คงไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความฝืดเคืองของระบบเศรษฐกิจมากเท่าตอนนี้ งบก้อนที่หนึ่งผ่านไป เปิดมกราคม ครม. ก็อนุมัติงบก้อนที่สองกว่า 39,506 ล้านบาท ด้วยคำพูดที่เล่นง่ายใช้คล่องว่าเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจฐานราก ด้วยโครงการย่อยต่างๆ มากมาย แต่เอาเข้าจริงมีสักกี่โครงการที่เป็นโครงการใหม่ๆ ที่น่าจะมีความหวังกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่การเล่นมุขง่ายๆ โดยเพิ่มเงินสนับสนุนจาก 300 เป็น 500 บาทต่อคนต่อเดือน ดูเผินๆอาจเป็นเรื่องที่ดี ที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง กล่าวคือหากให้สวัสดิการดังกล่าว ก็คงจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น 6,000-8,000 ล้านบาทต่อเดือน ตามยอดจ่าย และสามารถอ้างว่าหลายๆรัฐบาลที่ผ่านมาก็ทำกัน แต่จะทำให้เกิดการปั่นวงล้อเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่? หมุนวงล้อได้กี่รอบ? ซึ่งหากรัฐบาลนี้ทำตามนโยบายลดแลกแจกแถมเดิมๆของรัฐบาลก่อน ก็จะมีสถานะไม่ต่างกับรัฐบาลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ใช่หรือไม่? และข้อสงสัยของประชาชนที่เสียภาษีหลังจากนี้คือจะต้องตั้งงบเติมเงินในบัตรไปอีกเท่าไหร่?
ส่วนที่ดำเนินการไปแล้วประสบปัญหาก็ยังไม่มีทางแก้ ทั้งเรื่องรถประจำทางและปัญหาที่เกิดจากร้านค้า ยังไม่นับรวมเม็ดเงินที่วนเวียนในระบบปิดของรัฐหมด ตั้งแต่การให้เงิน ใช้เงินผูกกับร้านค้าและบริการรัฐ ทั้งร้านธงฟ้า รถเมล์ ขสมก. เสมือนอัฐยายซื้อขนมยาย ที่สุดท้ายก็ไม่รู้มีผลปั่นกงล้อเศรษฐกิจหรือไม่? หรือมีบ้างก็คือเจ้าของหรือผู้ผลิตสินค้าอุปโภค บริโภครายใหญ่ รวมถึงเครื่องรูดบัตรส่วนใหญ่ติดตั้งในร้านใหญ่ ซึ่งถูกมองเป็นการดึงเม็ดเงินจากคนจน แทนที่จะไปซื้อร้านเล็กๆ ในชุมชน
นอกจากนี้เมื่อเข้าไปดูรายการจ่ายงบก้อนใหม่ 3.9 หมื่นล้านนั้น พบมีโครงการประเภท อบรม สัมมนาที่ต้องใช้งบฯสอดแทรกอยู่ด้วย หลายคนตั้งคำถามถึงเป้าหมายแท้จริงของการอบรมสัมมนาว่าหวังใช้เงินรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก หรือหวังใช้เงินรัฐปูทางบางอย่าง? เพราะรูปแบบดังกล่าวต้องยอมรับว่า คล้ายกับสมัยนายกฯที่เป็นนายเก่าของกุนซือเศรษฐกิจคนนี้ ไฮไลท์ที่สุดยังไม่จบเมื่อพบว่า ในงบฯก้อนใหญ่ดังกล่าว ปรากฏงบฯค่าใช้จ่ายคณะกรรมการและคณะทำงานประกอบด้วยเบี้ยประชุม ค่าตอบแทนลูกจ้างชั่วคราวของธนาคารรัฐที่มาช่วยปฏิบัติงาน วงเงินกว่า 2,999 ล้านบาท นับเป็นสัดส่วนไม่น้อยเมื่อเทียบกับค่าบริการที่ธนาคารเอกชนใช้ดำเนินการต่างๆ นอกจากคำถามเรื่องความคุ้มค่าแล้ว หลายคนคงอยากถามแบบเจาะลึกว่า ค่าเบี้ยประชุมเท่าไหร่? จำเป็นหรือไม่? ตลอดจนค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวคือค่าใช้จ่ายอะไรแน่? หรืออ้างว่ากระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน ก็ยังเกิดคำถามว่าเมื่อให้ธนาคารรัฐมาเป็นผู้จัดการแล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้เครื่องมือของธนาคารรัฐทั้ง 6 แห่ง เป็นตัวจัดการ หรือนำเงินที่เป็นกำไรจากรัฐวิสาหกิจกลับคืนสู่สังคม คำถามเกิดขึ้นจากคลุมเครือไม่ชัดเจนในการดำเนินนโยบายดังกล่าวงบก้อนนี้คาดจะอยู่ในแผนงบฯกลางปี’61 ที่ครม.เพิ่งอนุมัติวงเงินกว่า 1.5 แสนล้าน ตามข้อเสนอทีมเศรษฐกิจ และเตรียมเสนอสู่ สนช.เร็วๆ นี้ โดยระบุว่า 50,000 ล้านบาท จะถูกนำไปชดใช้เงินคงคลัง ส่วนที่เหลือกว่าแสนล้าน จะนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งงบ 3.9 หมื่นล้านนี้ คาดว่าอยู่ในก้อนนี้ และยังพ่วงด้วยงบฯแถมให้อีก 1 หมื่นล้าน สำหรับโครงการพัฒนาตำบล และอีก 10,000-15,000 ล้านบาท สำหรับกรอบที่บอกว่า จะนำไปใช้เพิ่มความเข้มแข็งกองทุนหมู่บ้าน จริงๆแล้วถ้าอ่านความคิดขุนพลเศรษฐกิจ พบว่ามีการวางแผนเลยเถิดไปถึงการวางกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท ที่จะเป็นงบขาดดุลถึง 4.5 แสนล้าน ซึ่งถือเป็นการตั้งงบขาดดุลต่อเนื่องหลายปีขณะที่งบฯส่วนใหญ่ คาดว่าจะวางแผนเพื่อใช้งบกระตุ้นฯที่ไม่ใช่งบก่อสร้างหรือเมกะโปรเจกท์งบประมาณมหาศาลสูงมากที่บอกจะมากระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก แต่หากจำเป็นและสามารถแก้วิกฤติเศรษฐกิจตอนนี้ได้ ก็ถือว่าคุ้มค่า แต่หากเทียบกับประสิทธิภาพและความสามารถตลอด 3 ปีที่ผ่านมา หลายคนอาจกำลังก่ายหน้าผาก แล้วตั้งคำถามต่อความคุ้มค่า ตั้งคำถามต่อวินัยทางการคลังและตั้งคำถามต่อการรีดภาษีในอนาคต ที่ต้องวนกลับมาสู่ประชาชนว่า คุ้มค่าหรือไม่? การที่ต้องนำเม็ดเงินหมื่นล้านแสนล้านนี้มาใช้ อยากให้ภาครัฐทบทวนให้ดีถึงผลที่จะเกิดขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ายากจะวัดผลได้ชัดเจน เหมือนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะมีตัวเลขจ้างงาน สิ่งปลูกสร้าง การเก็บภาษีจากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดกลับสู่ระบบ และแม้หลายฝ่ายยอมรับว่า อย่างไรก็ยังจำเป็นในการใช้เงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ควรคิดหาวิธีและกลไกที่จะเกิดประโยชน์เป็นที่ประจักษ์มากกว่านี้ หรือยังไม่สามารถตอบข้อสงสัยถึงการปูพรมงบครั้งนี้ในช่วงท้ายรัฐบาลก่อนเลือกตั้งว่างบฯเหล่านี้สามารถนำไปสู่เป้าหมายอื่นได้หรือไม่ เช่นหากใครในรัฐบาลคสช.คิดจะลงการเมืองรอบหน้าการใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเดียว รัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนให้ดี ถึงผลได้ที่แท้จริงเทียบกับงบประมาณที่มีจำกัดตามฐานะของประเทศ ต้องเลือกจ่ายและชั่งน้ำหนักให้ดีถึงผลได้ระยะสั้นกับภาระที่จะเกิดระยะยาว นอกจากนี้ทุกก้าวย่างของรัฐบาลชุดนี่โปรดคิดเสมอว่า กำลังเดิมพันกับความคาดหวัง ศรัทธาของประชาชนทั้งประเทศที่เคยให้กับรัฐบาลพิเศษชุดนี้ ยอมกัดเนื้อลืมประชาธิปไตยชั่วคราวเพื่อให้ประเทศได้ผ่าตัดสะสางปัญหาในสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในรัฐบาลประชาธิปไตย ที่มองว่าพรรคการเมืองคือตัวสร้างปัญหา แต่วันนี้ประชาชนกำลังนั่งมองรัฐบาลที่เขาคาดหวังว่า กำลังทำอะไรอยู่ ซ้ำรอยย่ำรอยวิถีเดิมๆของสิ่งที่เขาพึ่งต่อต้านมาหรือไม่.....
...................................................
“...รักแท้ต้องใช้รักแท้ไปแลกมา ท่านเองหากไม่ได้มอบรักแท้ออกไป ไหนเลยมุ่งหวังให้ผู้อื่นทุ่มเทรักแท้ต่อท่านได้...” คำคมโกวเล้ง จากเรื่องอินทรีผงาดฟ้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี