ในปลายสัปดาห์นี้ อินเดียได้ประกาศความสำเร็จในการทดลองขีปนาวุธพิสัยไกล ที่สามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์รุ่นใหม่ล่าสุด เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าทั้งก่อนและขณะ แม้ภายหลังจากการทดลองดังกล่าวของอินเดีย ไม่มีประเทศใดประท้วงหรือคัดค้าน หรือต่อต้าน หรือประณามว่าเป็นภัยต่อโลกเลย
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการทดลองขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือที่เป็นข่าวฮือฮาลือลั่นสนั่นโลก จนถึงขั้นเคลื่อนแสนยานุภาพทางการทหารครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ซึ่งอย่าว่าแต่เกาหลีประเทศเดียวเลย ต่อให้ถล่มยุโรปทั้งทวีปก็จะพินาศไปสิ้น
แต่ทว่าเป็นที่น่าแปลกประหลาดใจของชาวโลกว่า เหตุไฉนหนอแสนยานุภาพที่ใหญ่โตขนาดนั้นจึงเหมือนแค่ดาบที่ชักออกจากฝักไม่ได้ หรือถึงแม้เทียบกับปืนก็ไม่สามารถลั่นกระสุนออกไปได้ กระทั่งเวลาผ่านไปหลายเดือนแล้ว เรื่องนี้ก็เงียบหายไปดื้อๆ
และวันนี้ข่าวสารในโลกนี้ก็เปิดเผยชัดเจนแล้ว เป็นแต่ว่าการรายงานข่าวนี้ในบ้านเมืองของเราดูเหมือนจะมีมือแห่งภูตผีปีศาจมาปกปิดบิดเบือนเอาไว้ จึงทำให้ประชาชนไม่ทราบความจริงซึ่งน่ากริ่งเกรงใจว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้จะทราบและเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงหรือไม่เพียงใด
เพราะการที่ประเทศไทยประณามเกาหลีเหนือตามที่ถูกกดดันจากต่างชาติ แต่แทนที่เกาหลีเหนือจะตอบโต้แบบครั้งก่อนที่แถลงว่า ขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือสามารถยิงถึงประเทศไทยได้ แต่กลับเป็นว่ามีการส่งสารแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันชาติของประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2560 อันเป็นการส่งไมตรีจิตมิตรภาพในฐานะที่ต่างก็เป็นสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งถึงวันนี้ก็ไม่เคยมีข่าวคราวว่าประเทศไทยได้ตอบสารดังกล่าวไปหรือไม่อย่างไร
ดังนั้นเรื่องราวเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องนำมาเสนอบอกกล่าวให้ประชาชาติไทยทั้งผองได้รับทราบในประเด็นที่สำคัญดังต่อไปนี้
ประเด็นแรก ข่าวสารเปิดเผยชัดเจนต่อโลกแล้วว่าเหตุใดแสนยานุภาพมากมายมหาศาลที่เคลื่อนมายังคาบสมุทรเกาหลีจึงกระดิกกระเดี้ยอะไรไม่ได้ นั่นเพราะรัสเซียและจีนได้จับมือกันขอเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้เกาหลีเหนือที่จะไม่ถูกรุกรานหรือถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธใดๆ และเสนอต่อเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันอย่างสันติโดยปราศจากการแทรกแซงของชาติใดๆ นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่เกิดสงครามขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี และกลายเป็นการเปิดฉากเบนความสนใจไปที่เยรูซาเลมแทน
ประเด็นที่สอง เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ตระหนักดีว่า ในขณะที่ถูกให้ชี้ให้เห็นภัยอันตรายจากเกาหลีเหนือนั้น แต่ประเทศชาติกลับถูกยึดครองด้วยกองทหารต่างชาติ กระทั่งเข้าแทรกแซงกิจการทางทหารและความมั่นคงประหนึ่งว่าเป็นประเทศราช และยังถูกเรียกร้องให้ชำระค่าขีปนาวุธซึ่งนำมาติดตั้งในเกาหลีใต้ โดยเกาหลีใต้จำเป็นต้องจ่ายค่าขีปนาวุธนั้น ราวกับว่าเป็นการจ่ายค่าคุ้มครอง
ดังนั้นเกาหลีใต้จึงตระหนักอย่างชัดเจนว่าอันตรายจากเกาหลีเหนือนั้น ยังไม่มีวี่แวว แต่อันตรายจากการถูกยึดครองในปัจจุบันนั้น เป็นอันตรายยิ่งกว่า จึงจ้องหาทางพลิกกลับสถานการณ์ ดังเช่นการหอบเงินลงทุนจำนวนมหาศาลไปลงทุนในประเทศอิหร่าน ซึ่งเป็นภาคีองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้โดยไม่ใส่ใจเสียงทักท้วงจากใครไหน
ประเด็นที่สาม เมื่อได้รับหลักประกันจากจีนและรัสเซีย เกาหลีเหนือก็พร้อมเจรจาและประกาศว่าอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือนั้น มีเป้าหมายอยู่เพียงชาติเดียวคือ สหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชนสายเลือดเดียวกันคือเกาหลีใต้เลย ซึ่งสมประโยชน์กับเกาหลีใต้ การเจรจาอย่างสันติจึงเกิดขึ้น และในที่สุดก็ตกลงกันได้ในสาระสำคัญคือ
ข้อแรก ทั้งสองฝ่ายจะเจรจาสันติภาพกันต่อไปโดยปราศจากการแทรกแซงครอบงำของชาติอื่น
ข้อสอง ในระยะเริ่มแรกทั้งสองเกาหลีจะใช้ธงรวมชาติเป็นสัญลักษณ์ในการส่งนักกีฬาของทั้งสองฝ่ายในการแข่งขันโอลิมปิกซึ่งเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในปีนี้ และจะใช้นักกีฬาผสมของทั้งสองชาติในฐานะที่เป็นสายเลือดเกาหลีด้วยกัน
สถานการณ์จึงเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ และกำลังปิดศักราชแห่งความขัดแย้งและสงครามระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการพัฒนาร่วมกันในทุกด้าน และจะพัฒนาเชื่อมโยงเข้ากับเส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเล โดยเฉพาะจะสร้างจุดเชื่อมโยงเกาหลีเหนือ-ใต้ กับทั้งจีนและรัสเซีย เพื่อร่วมกันทำมาค้าขายเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ใครเป็นพระ ใครเป็นโจร ใครเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งและสงคราม ใครเป็นผู้กอบกู้สันติภาพและสร้างการพัฒนาก็กระจ่างชัดแก่ชาวโลก และแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อบรรดาสมาชิกทั้งปวงของสหประชาชาติ โดยเฉพาะคณะมนตรีความมั่นคงด้วย
ญี่ปุ่นซึ่งรัฐบาลกำลังแปลกแยกกับประชาชนในการฟื้นลัทธิทหารและในการยอมให้ต่างชาติเข้ามาตั้งฐานทัพ กระทั่งนำพาญี่ปุ่นเข้าสู่ความขัดแย้งที่อาจก่อเกิดเป็นสงคราม ที่ถ้าหากเกิดขึ้นแล้วญี่ปุ่นคือด่านแรกที่จะประสบหายนะยิ่งกว่าเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง ประกอบกับปัญหาทางเศรษฐกิจจึงทำให้ญี่ปุ่นต้องเดือดร้อนยิ่งกว่าใครในภูมิภาคนี้
สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงใหญ่แล้ว บรรดาผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งหลายจึงต้องรีบทบทวนสถานการณ์ ตลอดจนการดำเนินวิเทโศบายให้สอดคล้องบนพื้นฐานผลประโยชน์แห่งชาติโดยเร็วที่สุด สำหรับภาคประชาชนนั้นไม่น่าห่วงเพราะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างเต็มที่และทันการณ์มานานแล้ว โดยเฉพาะประชาชาติทั้งปวงในโลกนี้ล้วนไม่ต้องการความขัดแย้งและสงครามด้วยกันทั้งสิ้น
สันติภาพและการพัฒนากำลังเป็นกระแสหลักที่โหมกระหน่ำไปทุกทิศทางทั่วโลก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี