18 มกราคม เป็นวันกองทัพไทย
วันเดียวกันนี้เมื่อ 426 ปีที่แล้ว เป็นวันสำคัญของชาติไทย สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกอบพระมหาวีรกรรมกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะ เมื่อปี พ.ศ.2135 ปกป้องเอกราชของชาติไทยสืบมา
1. กองทัพเป็นเสาหลักของประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน
กองทัพมีบทบาทสำคัญ มีคุณอนันต์ต่อประเทศชาติ ต่อสู้กับอริราชศัตรู ซึ่งถ้าไม่มีกองทัพ ชาติไทยคงไม่อาจตั้งมั่นอยู่มาได้จนถึงวันนี้
ภารกิจหลัก คือ การปกป้องดูแลความมั่นคงของประเทศชาติ
ตัวภารกิจหลักนั้น ไม่เคยเปลี่ยน แต่สภาพปัญหาความมั่นคงของชาติ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป สภาพปัญหาความมั่นคงของชาติเปลี่ยนไป ถ้ากองทัพไม่เปลี่ยนแปลง แล้วประเทศไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร?
2. ปัจจุบัน รูปแบบของภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศชาติเปลี่ยนแปลงไป
ยุคนี้ สงครามใหญ่ คือ สงครามเศรษฐกิจ เปิดสมรภูมิในโลกออนไลน์ เศรษฐกิจดิจิทัล บรรษัทข้ามชาติ
บริษัทดอทคอมทั้งหลาย อาทิ ที่ประกอบกิจการกูเกิล เฟซบุ๊ค ไลน์ ยูทูบ ฯลฯ ดึงพลเมืองนานาชาติเข้าไปอยู่ในฐานสมาชิกหลายพันล้านคน เข้าถึงฐานข้อมูลสำคัญและทันสมัยยิ่งกว่าฐานทะเบียนราษฎรของกระทรวงมหาดไทยเรียลไทม์ อัพเดทตลอด
ยิ่งกว่านั้น ยังเชื่อมต่อเข้ากับฐานข้อมูลการเงิน การค้าขาย การรับ-จ่ายเงิน ซึ่งเท่ากับว่า บริษัทเหล่านี้เป็น
ผู้ถือครองฐานข้อมูลบิ๊กดาต้ามหาศาล อาชญากรรมในโลกออนไลน์ มุ่งกอบโกยผลประโยชน์ทางธุรกิจสีเทาและสีดำ
ในโลกออนไลน์ สามารถนำไปใช้ทำอะไรได้อย่างเกินคาดหมาย นี่คือสถานการณ์ใหม่ของปัญหาความมั่นคงของชาติยุคนี้
การเคลื่อนไหวคุกคามความมั่นคงทางการเมืองยุคใหม่ ก็ถูกเปิดพื้นที่ในโลกออนไลน์ หลากหลายรูปแบบและดีกรี การระดมโจมตีบนโลกออนไลน์ การใช้ข้อมูลเท็จ การปลุกระดมปลุกปั่น ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นบนท้องถนน แต่ข้อมูลที่กระทบความมั่นคงทั้งหลายนั้นสามารถไหลหลั่ง ล้นทะลัก ทั้งข้อมูลจริง ข้อมูลเท็จ ว่อนในโลกออนไลน์ ซึ่งนับวันจะไร้พรมแดน ไหลบ่าข้ามพรมแดนชาติ ยกระดับเป็น“สงครามไซเบอร์”
ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบปัญหาความมั่นคงยุคใหม่
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป สภาพปัญหาความมั่นคงของชาติเปลี่ยนไป ถ้ากองทัพไม่เปลี่ยนแปลง แล้วประเทศไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร?
3. สภาพปัญหาความมั่นคงเปลี่ยนไป ในขณะที่ปัจจุบัน กองทัพเข้ามามีบทบาทในการเมือง ควบคุม แทรกซึมและเข้าไปข้องเกี่ยวกับหน่วยงานองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินจำนวนมาก
หากเป็นสถานการณ์ความมั่นคงเมื่อทศวรรษที่แล้ว บทบาทของกองทัพเยี่ยงนี้อาจตอบโจทย์ ว่าจะสามารถจัดการปัญหาความมั่นคงได้บ้าง แต่ไม่น่าจะใช่ในสถานการณ์ยุคปัจจุบัน
แม้จะเข้าใจได้ว่า ในวันที่บ้านเมืองมีภัย อยู่ในภาวะรัฐล้มเหลว ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปไม่ได้ และกำลังจะเกิดสงครามกลางเมือง เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อชีวิต คนโกงกำลังจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน กองทัพก็จำเป็นต้องเข้ามาแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศชาติในขณะนั้น
แต่ถึงเวลานี้ กองทัพกำลังถูกวิจารณ์ว่า พยายามแสวงหาอำนาจ ต่อยอดอำนาจ และสืบทอดอำนาจ
ขณะที่การปฏิรูปบ้านเมือง ยังไม่ปรากฏผลรูปธรรม
กองทัพกำลังถูกมองว่าไม่ได้ทำตัวเป็นทหารอาชีพ โดยออกมาทำหน้าที่นอกอาชีพความชำนาญของตนเอง
ในสถานการณ์ที่โลกเปลี่ยนไป มีความเชื่อมต่อสัมพันธ์กับโลกข้ามพรมแดน สภาพปัญหาความมั่นคงเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยนไปสู่การไม่ใช้กำลังเคลื่อนไหวไม่นิยมรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ไม่นิยมรัฐบาลทหาร
ยิ่งสังคมทันสมัยขึ้น กองทัพที่ทำแบบเดิมๆ ก็ยิ่งจะล้าสมัยขึ้น
4. กองทัพ ควรจะต้องเป็นทหารอาชีพ เอาจริงกับงานความมั่นคงยุคใหม่ จำเป็นต้องประสานกับพลเรือน คนที่รู้เรื่องเทคโนโลยี เชี่ยวชาญการบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารเศรษฐกิจ
ขนาดของกองทัพไม่สำคัญเท่ากับว่า “จิ๋วแต่แจ๋ว” ลดกำลังพล เพิ่มประสิทธิภาพและความทันสมัย
ในที่ประชุม ครม. 4 ธ.ค. 2560 พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แจกเอกสารแนวทางการปฏิรูปกองทัพ เนื้อหาสรุปว่า 1.การลดกำลังพลประจำการโดยการเพิ่มกำลังพลพนักงานราชการ อาสาสมัครพลเรือน โดยมีสิทธิต่างกับข้าราชการประจำ คือ มีสัญญาจ้างที่ชัดเจนเพิ่มการจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 2.การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต้องเน้นความทันสมัยเทคโนโลยีสูง โดยมีจำนวนที่เพียงพอตามแผนพัฒนากองทัพ และแผนป้องกันประเทศรวมถึงแผนการใช้ด้วย เป็นต้น
4 ม.ค. 2561 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม เปิดเผยผลการประชุมปฏิรูประบบความมั่นคง (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม) ระบุว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงเรื่องปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูประบบข่าวกรอง ปฏิรูปงานความมั่นคง ปฏิรูปกระทรวงกลาโหม โดยให้มีการปรับปรุงโครงสร้างลดอัตรากำลังพลภาพรวมได้ 774 อัตรา โดยนำกำลังพลสำรองมาบรรจุแทนกำลังพลที่ขาด ใช้ข้าราชการพลเรือนกระทรวงกลาโหมมามาปฏิบัติหน้าที่
โฆษกกลาโหมได้แถลงถึงการลดกำลังพลร้อยละ 2.5 ต่อปี นับแต่ 2560-2571 และจะเพิ่มขีดความสามารถด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ตอบสนองภัยคุกคามด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยคำนึงประชาคมอาเซียน ฯลฯ ฟังดูเป็นทิศทางที่ถูกต้อง สมควรดำเนินการอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง
แต่น่าสังเกตว่า การโยกย้ายนายทหาร เดือนกันยายน 2560 ปรากฏว่า มีการเพิ่มนายพล 415 นาย โดยอ้างถึงการปรับโครงสร้าง กอ.รมน. ให้ไปช่วยงาน กอ.รมน.จังหวัด จึงเพิ่มอัตราขึ้นมา จึงน่าสงสัยว่าการดำเนินการจริง จะเป็นไปตามทิศทางที่ประกาศว่าจะปฏิรูปกองทัพจริงหรือไม่
5. ใครจะปฏิรูปกองทัพ?
ปัจจุบัน คสช.กุมอำนาจบ้านเมือง สังคมย่อมคาดหวังว่า กองทัพนั่นเองที่จะต้องปฏิรูปตัวเอง
หรือจะให้นักการเมืองเข้ามาปฏิรูป?
หรือจะให้ประชาชนปฏิรูปกองทัพ?
ทหารควรจะมีบทบาทในเรื่องการเมืองแค่ไหน ควรจะทุ่มเท เป็นทหารอาชีพ ดูแลความมั่นคงอย่างเท่าทันโลกยุคใหม่ ซึ่งปัญหาความมั่นคงไม่ได้อยู่แค่ชายแดน แต่ก็ไม่ใช่แค่เข้าไปนั่งเต็มพรึ่บในสภาในรัฐวิสาหกิจ ในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่ไปตระเวนทำประชาสัมพันธ์ทางการเมือง เหมือนนักการเมือง
เมื่อพลเอกประยุทธ์ประกาศตัวชัด ว่าเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร ท่านเป็นอดีตทหารที่เข้ามาเป็นนักการเมือง ก็น่าจะเป็นโอกาสดีในการปฏิรูปกองทัพ เพราะคนเคยเป็นทหารย่อมจะมีความเข้าใจว่าควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกองทัพให้ทันยุคสมัยอย่างไร
ประการสำคัญ คือ ควรทำเลย ไม่ต้องรอกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย
6. หัวใจของปฏิรูปกองทัพ
สาระสำคัญ คือ
6.1 สร้างทหารอาชีพ มีความเท่าทันปัญหาความมั่นคง แม่นยำ ไม่ออกนอกกรอบ นอกลู่นอกทาง
6.2 อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ
6.3 การจัดการงบประมาณกลาโหม การซื้ออาวุธ การโยกย้าย ต้องผ่านการพิจารณาจากรัฐบาล
6.4 การสร้างธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และสร้างระบบที่มีความชัดเจน อาทิ การใช้ทหารเกณฑ์ไปรับใช้งานตามบ้านพักนายทหาร หรือแม้แต่การจัดสรรบ้านพักนายทหาร ฯลฯ ควรวางระบบที่ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดครหา
7. เมื่อโลกเปลี่ยน ปัญหาความมั่นคงเปลี่ยนไป กองทัพไทยก็ต้องเปลี่ยนแปลง
กองทัพเป็นเสาหลักของบ้านเมืองมาโดยตลอด หากกองทัพไม่เปลี่ยนแปลง หรือเข้าไปวุ่นวายกับงานที่ไม่ใช่หน้าที่หลัก แล้วทำให้งานในหน้าที่หลักซึ่งมีความสำคัญสูงสุดสุ่มเสี่ยงได้รับผลกระทบ ความเสียหายจะไม่จำกัดแก่กองทัพหรือผู้นำกองทัพเท่านั้น แต่จะกระทบต่อเศรษฐกิจ เสถียรภาพการเมือง ความแตกแยกในสังคม
จากกองทัพที่เคยเป็นทางออกฉุกเฉินของบ้านเมืองกลับจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี