เมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมานี้ จีนได้เปิดประเทศรับระบบเสรีนิยมด้านเศรษฐกิจการตลาดแบบทุนนิยม เคียงคู่กับการคงอยู่ของการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ ผลลัพธ์ของมันได้สร้างความแปลกใจปนทึ่ง ให้โลกชนิดเกินความคาดหมายหรือการคาดการณ์ใดๆ เพราะมันส่งผลให้จีนก้าวข้ามขึ้นมาเป็นประเทศเศรษฐกิจระดับสองของโลก แซงหน้าญี่ปุ่น เป็นรองก็เพียงสหรัฐอเมริกา ซึ่งชาวโลกต่างคาดว่า อีกไม่นานเกินรอ จีนจะก้าวข้ามสหรัฐ ไปเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่โตเป็นที่หนึ่งของโลกในที่สุด
และท่ามกลางความสำเร็จอันยิ่งยอดยิ่งใหญ่นั้น ท่าทีและพฤติกรรมต่อประเทศเพื่อนบ้านของจีนกลับดูเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง จากที่เคยแสดงออกว่าเป็นมิตรคู่ค้า น่าคบหาของสมาคม ได้กลับกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ที่ดูน่าเกรงขาม น่าสะพรึงกลัว ในสายตาประเทศมิตรสหายและประชาคมโลก
ช่วง 30 ปีแรกของการเปิดประเทศ จีนประกาศเรียกร้องและยึดมั่นกับท่าทีว่า จีนต้องการพัฒนาประเทศและข้องแวะกับโลกภายนอก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยเป็นสันติ (Peaceful International Environment) ในระหว่างนั้น จีนก็ขะมักเขม้นในการร่วมมือต่างๆ แสดงความเป็นมิตรไมตรี ถ่อมเนื้อถ่อมตน ปรับตัวเข้ากับกติกาและธรรมเนียมปฏิบัติของโลกอย่างแข็งขัน จนทำให้เกิดการยอมรับและกล่าวขานชื่นชมอย่างกว้างขวางมากมาย
แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ท่าทีจีนต่อโลกถูกเปลี่ยนแปลงหลักคิดและหลักปฏิบัติไปมาก ชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ นั่นคือ จากมีความเป็นประเทศที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย เปลี่ยนเป็นผู้ตั้งเงื่อนไข เอาความต้องการของตนเป็นที่ตั้งและเป็นใหญ่ แสดงความก้าวร้าว ไม่โอนอ่อนผ่อนปรนหรืออะลุ้มอล่วย
หากจัดทำรายการ การกระทำของจีนที่ดูแล้วไม่น่ารักหรือเป็นที่น่าวิตกกังวลต่อชาวโลก ก็มี
- การแสดงแสนยานุภาพทางน้ำและอากาศ ในกรณีการพิพาทขัดแย้งกันในเรื่องเขตอาณาในทะเลจีนตอนใต้ หรือในทะเลจีนตอนเหนือ แถมยังถมเกาะแก่งเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างฐานทัพ ล่าสุดยังเลือกที่จะเพิกเฉยต่อข้อตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการโลกว่า จีนไม่มีสิทธิ์ทางหลักกฎหมายระหว่างประเทศและไม่มีหลักฐานครอบครองทางประวัติศาสตร์ใดในความเป็นเจ้าของ หรือผู้ครอบครอง
- การเตรียมกองทัพที่พร้อมจะ “สั่งสอน” อินเดียอีกครั้ง กรณีพิพาทดินแดนในเทือกเขาหิมาลัย
- การพัฒนาแม่น้ำโขงตอนบนอย่างคลุมเครือ ซึ่งไม่เปิดเผยข้อมูลให้แน่ชัด และไม่มุ่งที่จะจัดการเปิดเวทีหารือกับประเทศปลายน้ำ โดยเฉพาะในเรื่องผลกระทบต่อแม่น้ำโขงตอนล่าง
- การ “ซื้อ” ผู้นำเผด็จการในประเทศต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่ายอิทธิพล และในกรณีประชาคมอาเซียนก็มีผลกระทบต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับของประชาคมอาเซียน
- การลงทุนพัฒนาท่าเรือในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีนัยไปในทางกิจการทหารมากกว่าการค้าขาย เป็นต้น
แล้วทำไมจีนถึงเปลี่ยนแปลงไปจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่น่านับถือข้างบ้าน ไปเป็นผู้ใหญ่ผู้โตน่าเกรงกลัว กันแน่? ก็ดูจะมีหลายสาเหตุผลักดัน ไม่ว่าจะเป็น
- ลัทธิชาตินิยมได้เข้ามาครอบงำผู้นำจีน ส่งผลให้มีความทะเยอทะยาน อยากจะให้จีนขึ้นแท่นเป็นที่หนึ่งของโลกในด้านต่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอดีตในประวัติศาสตร์ โดยนโยบายลักษณะนี้ สามารถใช้เรียกร้องเสียงสนับสนุนจากประชาชน เพื่อกระชับฐานเสียงได้อีกด้วย
- ความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจที่รวดเร็วเกินความคาดหมาย อำนวยให้จีนมีเงินเหลือใช้ นอกจากนำไปเร่งพัฒนาแสนยานุภาพทางการทหาร แล้วยังสามารถเอาไปใช้เพื่อขยายอิทธิพลและ “ซื้อ” เพื่อน ด้วยการไปลงทุน ด้วยการให้ความช่วยเหลือและขยายตลาดการค้าขายอีกด้วย
- ประเด็นปมการเมืองระหว่างประเทศในอดีตที่จีนมีประสบการณ์ประวัติศาสตร์อันขมขื่นต่างๆ จากการถูกครอบงำ ถูกรังแกจากฝ่ายตะวันตก สร้างบทเรียนและสร้างความเจ็บปวดที่ต้อง “ชำระ” คือ จีนจะไม่ยอมเป็นรองใครอีก
- ความประสงค์ให้รูปแบบโครงสร้างทางการเมืองการปกครองแบบพรรคเดียวนำพา เป็นแบบอย่างให้กับประเทศกำลังพัฒนา โดยให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าระบบหลายพรรคของฝ่ายตะวันตก
และเมื่อจีนก้าวรุกในลักษณะดังกล่าวแล้ว โลกจะต้องทำอย่างไร หรือจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หรือจะขยับรับมือกันแบบไหน และได้แค่ไหน
ที่เห็นชัดแต่แรกเลยก็คือสหรัฐอเมริกา ที่เลือกจะคงฐานทัพและกำลังทหารอยู่ต่อไปในมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย และยังเร่งกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่สนธิสัญญาด้านความมั่นคงร่วมกัน โดยได้ผนึกกำลังเป็นการเฉพาะกับญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย อีกทั้งอินเดีย และญี่ปุ่น ก็กระชับความร่วมมือกับเวียดนาม เพื่อให้เวียดนามเข้มแข็งยิ่งขึ้น และเป็นแนวร่วมในการต่อต้านหรือตีกรอบการแผ่ขยายของอิทธิพลจีน โดยเฉพาะในเรื่องทะเลจีนตอนใต้
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาคมอาเซียน ซึ่งยังขาดความเป็นปึกแผ่นในการดำเนินความสัมพันธ์แบบเสมอภาคและทัดเทียมกับจีน สาเหตุหนึ่งของความล้มเหลวในการผนึกกำลัง ก็เพราะจีนประสบความสำเร็จในการแทรกแซงโดยตรง ที่ทำให้ผู้นำประเทศอาเซียนต่างๆ รวมตัวกันไม่ติด นอกเหนือจากผู้นำประเทศอาเซียนขาดวิสัยทัศน์ และความมุ่งมั่น นึกคิด ก็เป็นการบ้านในระดับอาเซียน
อย่างไรก็ตาม เมื่อจีนได้เห็นแล้วว่า ประเทศต่างๆ รอบบ้าน มีท่าทีที่ห่วงกังวลกับลักษณะเชิงรุกคืบของจีน ก็เริ่มหันไปกระชับความร่วมมือกันเอง และกับสหรัฐอเมริกา จีนก็น่าจะได้ตระหนักว่า ในอนาคตจีนจะมุ่งเอาแต่ใจฝ่ายเดียวไม่ได้ อำนาจใดๆ ก็ต้องมีข้อจำกัด ซึ่งจีนก็น่าจะได้ทบทวนท่าที และมุ่งกลับไปยึดมั่นสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยเป็นสันติดังเดิม โลกโดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอินเดีย ก็จะได้เห็นสันติภาพและความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี