เมื่อเร็วๆ นี้ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจและกล่าวเน้นย้ำว่า ปี 2561 นี้จะเป็นปีแห่งการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ให้เป็นที่ยอมรับสู่ระดับสากล สังคมและประชาชน อย่าให้มีการบิดเบือนในทุกเรื่อง จึงขอให้ทุกคนทำงานด้วยความระมัดระวัง โดยนายกฯ ได้เน้นย้ำเรื่องการเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากที่สุด หากไม่ทำตอนนี้ ปัญหาเดิมๆ ก็จะย้อนกลับมา
การหยิบยกเรื่องการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจถือได้ว่ามาในจังหวะที่ได้เวลาอันควร ท่ามกลางการผลักดันวาระ “ปฏิรูป” ประเทศซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้ดำเนินการไปแล้วหลายๆ เรื่อง หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเองก็เป็นหน่วยงานรัฐที่เปรียบเหมือนเครื่องยนต์หลักเครื่องหนึ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศด้วยเหมือนกัน ในปีงบประมาณ 2560 ที่ผ่านมารัฐมีรายได้จากการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดราว 162,265 ล้านบาท โดยรัฐวิสาหกิจลำดับต้นๆ อาทิ สำนักงานสลากกินแบ่งฯ ปตท. การไฟฟ้า การบินไทย ฯลฯ
กลับมาดูที่ประเด็นการปฏิรูปเศรษฐกิจที่หลายรัฐวิสาหกิจของรัฐมีบทบาทสำคัญเช่นเดียวกัน คือ ผลงานที่รัฐบาลเพิ่งทำคลอดผ่านไป เช่น การปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตครั้งใหญ่ เมื่อเดือนกันยายนในปีที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้โครงสร้างภาษีในทุกสินค้าที่เสียภาษีสรรพสามิตเปลี่ยนไปและมีการนำราคาขายปลีกแนะนำมาใช้เป็นฐานการคิดภาษี รวมกับการคิดภาษีแบบระบบผสม
สามเดือนผ่านไปหลังจากการปฏิรูป ตัวเลขรายได้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตทุกสินค้ายังเข้าเป้าและเป็นไปได้อย่างราบรื่น แม้จะมีความผันผวนในช่วงแรกที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ แต่ตัวเลขการจัดเก็บที่ในสามเดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 เริ่มแสดงให้เห็นผลที่น่าพอใจและสภาพตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
ยกเว้นกลุ่มสินค้าเดียว ก็คือ บุหรี่ที่มีปัญหาจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของรัฐเอง คือ โรงงานยาสูบ ที่ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกระบบภาษีสรรพสามิตครั้งนี้เสีย อ้างว่าทำให้บุหรี่ไทยเสียเปรียบบุหรี่นอก ไม่สามารถแข่งขันได้โดยเสนอให้รัฐออกกฎเพื่อกำหนดให้ราคาขายปลีกบุหรี่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาขายก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
ในปีงบประมาณ 2560 โรงงานยาสูบนำส่งรายได้ภาษีสรรพสามิต 46,411 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.3 ของรายได้ภาษีสรรพสามิตทั้งหมด คือ 562,365 ล้านบาท และนำส่งรายได้รัฐ 4,963 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.1 ของรายได้นำส่งจากรัฐวิสาหกิจเท่านั้น
ระบบภาษีใหม่ทำให้ผู้ประกอบการทุกราย ทุกสินค้า อาทิ เหล้า เบียร์ รถยนต์ น้ำมัน ของฟุ่มเฟือย ฯลฯ ต้องรีบปรับกลยุทธ์ ทั้งการตลาดและราคาเพื่อตอบสนองโครงสร้างภาษีใหม่นี้ เว้นแต่กรณีรัฐวิสาหกิจยาสูบที่ดูจะมีปัญหาในเรื่องการแข่งขันและเป็นที่มาของการให้รัฐออกมาตรการช่วยเหลือโรงงานยาสูบในครั้งนี้
หากปี 2561 เป็นปีแห่งการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจอย่างแท้จริง โรงงานยาสูบและกระทรวงการคลังจึงต้องใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปหน่วยงานและอุดช่องโหว่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิพลของแหล่งรายได้จากยาสูบนี้ในระยะยาว และจะต้องยึดหลักการแข่งขันเสรีที่เป็นธรรม รวมถึงการไม่เลือกปฏิบัติ หรือ “อุ้ม” ผู้ผลิตในประเทศเพื่อการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการแข่งขันและการลงทุน
การเรียกร้องให้รัฐออกมาตรการมาช่วย “อุ้ม” หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือเรียกร้องมาตรการที่จะมา “บิดเบือน” ระบบที่มีอยู่จึงไม่น่าจะใช่แนวทางในการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจในปีนี้แต่อย่างใด อีกทั้งอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อข้อพิพาทเรื่องการค้ากับธุรกิจต่างประเทศอีกด้วย
ข้อมูลทั้งหมดนี้ เป็นบทความจากท่านผู้รู้ด้านเศรษฐกิจ ส่งมาให้ผมช่วยตีแผ่ ก็เห็นว่าเป็นข้อมูลที่มีเหตุผลจึงมาบอกกล่าวกัน และเป็นการบ้านให้กระทรวงการคลังเก็บไปคิดครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี