การยึดอำนาจของ คสช. ครั้งนี้ได้ตั้งหลักคิดว่าคู่กรณีล้วนเป็นพวกมีปัญหาคู่กรณีที่ว่าก็คือฝ่ายหนึ่งเป็นเผด็จการทุนสามานย์ที่โกงบ้านกินเมืองและส่อว่าจะแบ่งแยกการปกครองประเทศ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐ ถึงขนาดมีการประกาศตั้งรัฐต่างๆ และกองกำลังหลายรูปแบบขึ้น
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็คือภาคประชาชนที่ประกาศตนเป็นกลุ่มผู้รักชาติ มุ่งหมายปกป้องไม่ให้มีการแบ่งแยกประเทศและเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ
ทั้งสองฝ่ายขับเคี่ยวต่อสู้กันต่อเนื่องมาหลายปี จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์ กปปส. ที่เป็นศูนย์กลางของบรรดาแนวร่วมทั้งหลายที่มุ่งต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง มีประชาชนเข้าร่วมในการเดินขบวนทั่วประเทศถึง 11 ล้านคน และในที่สุดคสช. ก็เข้ายึดอำนาจ
ยึดอำนาจแล้วก็ถือว่าคนทั้งสองพวกนี้มีปัญหาเสมอกัน ไม่จำแนกมิตรไม่จำแนกศัตรู ดังนั้นจึงเหลือคนอีกพวกหนึ่งซึ่งชักชวนกันเข้ามาร่วมกันบริหารบ้านเมือง คนกลุ่มนี้แหละที่ถูกนินทาว่าเป็นพวก “ตาอยู่” ที่ไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวหรือรับผิดชอบด้วยการแผ่นดิน ประคองตัวให้เป็นผ้าขาวเอาตัวรอดไปวันๆ คนพวกนี้กลายเป็นผู้มีความชอบที่จะเข้ามากอบกู้ปัญหานำพาประเทศชาติ
พอเข้ามาแล้วก็ยกโคตรเหง้าศักราชเข้ารับตำแหน่งแปลกๆ มากมาย กินเงินภาษีราษฎรกันเป็นครอบครัว พวกที่เข้ามาแล้วก็ยกพวกพ้องยกขบวนยกรุ่นเข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการต่างๆ จนถึงบัดนี้มีการตั้งคณะกรรมการต่างๆ หลายร้อยคณะ ซึ่งบางคนก็ดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่า 300 คณะ
ล้วนแต่ได้รับเบี้ยประชุมและหนักเข้าก็มีการแก้ไขกฎระเบียบว่าไม่ต้องมีการประชุมจริง แต่ให้มีการประชุมออนไลน์ หรือประชุมแบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ซึ่งน่าที่จะมีการตรวจสอบสักครั้งหนึ่งว่ารายจ่ายเกี่ยวกับเบี้ยประชุมขนาดนี้ เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้สักกี่เท่าตัว
เมื่อตั้งคณะกรรมการแล้วก็ตั้งอนุกรรมการ อนุกรรมการก็ไปตั้งคณะทำงานซึ่งใช้เวลาราว 4-6 เดือน จากนั้นก็ทำงานกันรูปแบบนี้ นึกดูเองแล้วกันว่า ประสิทธิภาพและประสิทธิผลจะเป็นประการใด
นานวันเข้าเสียงนินทาก็หนักหน่วงขยายวงกว้างขึ้นไปทั่วประเทศ โดยรวมก็คือผิดหวังกับความเชื่อเดิมที่ว่า จะมีการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น จะมีการปฏิรูปประเทศให้เสร็จก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และจะทำให้ประชาชนชาวไทยมีความสุข
เสียงดังกึกก้องไปทั่วประเทศ ถึงขนาดพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีฯ ต้องออกปากกล่าวย้ำถึงสามครั้งต่อหน้านายกรัฐมนตรีและคณะที่เข้าเยี่ยมอวยพรว่า ต้องทำให้ประชาชนมีความสุขตามที่สัญญาไว้ ไม่ว่าจะยากลำบากประการใดก็ตาม และยังเตือนด้วยว่าขณะนี้ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว จะต้องรีบทำให้ประชาชนมีความสุข
ความจริงคำเตือนที่ว่าใช้กองหนุนเกือบหมดแล้ว กองหนุนแทบไม่มีเหลือแล้วนั้น นอกจากจะมีความหมายแบบชาวบ้านที่เราท่านเข้าใจกันแล้ว สำหรับบรรดาเสนาธิการทั้งหลายย่อมรู้กระจ่างใจว่าคำนี้มีความหมายอย่างไร เพราะเป็น technical term หรือภาษาเฉพาะของฝ่ายเสนาธิการที่ต้องรู้ถึงการปฏิบัติหลังจากข้อความนี้ปรากฏ
กรณีทหารกองหนึ่งเผชิญหน้ากับข้าศึก ถ้าเมื่อใดมีการส่งสัญญาณว่าบัดนี้ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว กองหนุนแทบไม่มีเหลือแล้ว ทันทีที่ทราบสัญญาณนี้ หลักปฏิบัติเป็นอย่างไรก็รู้กันดีทั่วกัน
เพราะถ้ายังขืนดึงดันทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก็จะพากันตายหมดทั้งหน่วย
สภาพดังกล่าวเป็นเรื่องภายในประเทศของเราเอง แต่เพราะการขับเคี่ยวกันระหว่างประเทศ ระหว่างสองกลุ่มใหญ่ คือกลุ่มนาโตและกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ที่กำลังขยายวงกว้างออกไปและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง เพราะกำลังทำให้โลกของเราทุกวันนี้เข้าสู่สภาพการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศนั้น เดิมมีแค่ลาว กัมพูชา และเวียดนามเท่านั้นที่ยืนข้างประเทศแกนนำองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ นอกนั้นไม่ว่าพม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ล้วนเป็นฝักฝ่ายกับประเทศที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” เนื้อแท้ก็คือเครือข่ายของกลุ่มนาโตนั่นเอง
แต่มาถึงบัดนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงใหญ่ ประเทศทั้งหลายต่างรู้เช่นเห็นชาติภัยอันตรายแท้จริงที่คุกคามประเทศของตน รู้เช่นเห็นชาติว่าใครเป็นมิตร ใครคือศัตรูที่สวมหน้ากากมิตรบังหน้า ที่กดขี่ข่มเหงเอาเปรียบและถือชาติต่างๆ เป็นแค่เมืองขึ้นหรือลูกกะโล่ที่ชี้นิ้วบงการได้ทุกเมื่อ
เมื่อความจริงปรากฏขึ้น ประเทศต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงจุดยืนของตน หันไปคบหากลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้มากขึ้น แล้วร่วมกันขับเคลื่อนกระแสสันติภาพและร่วมกันพัฒนาเพื่อประโยชน์ร่วมกัน จนเครือข่ายองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้แผ่ขยายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้หลายประเทศในกลุ่มนาโต รวมทั้งในตะวันออกกลางและแอฟริกา แม้กระทั่งในลาตินอเมริกาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน
เมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างนี้ ความอำมหิตก็เพิ่มมากขึ้นถึงขั้นสร้างกลุ่มก่อการร้ายขึ้นมาแล้วส่งไปปฏิบัติการในประเทศต่างๆ จากนั้นก็ยกกองทัพเข้าไปอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือปราบผู้ก่อการร้าย แต่เนื้อแท้ก็คือการเข้ายึดครองประเทศที่เข้าไปช่วยเหลือนั่นเอง
ในที่สุดความจริงก็ปรากฏต่อชาวโลก และพากันต่อต้านความช่วยเหลือลักษณะนี้ มิหนำซ้ำ ถ้าเกิดกรณีที่จะมีพฤติการณ์เช่นนี้ขึ้นประเทศต่างๆ ก็พากันไปขอความช่วยเหลือจากกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ให้เข้ามาป้องกันแก้ไข ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่ประจักษ์แล้ว ไม่ว่าในซีเรีย อิรัก ฟิลิปปินส์ แม้กระทั่งล่าสุดคือพม่า
เป็นผลให้ประเทศในอาเซียนเปลี่ยนแปลงไป หันไปเปลี่ยนหลักนิยมทางอาวุธและปรับวิเทโศบายจับไม้จับมือร่วมกลุ่มเป็นพันธมิตรกับกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้มากขึ้น ดังเช่นขณะนี้ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย พม่า และมาเลเซีย หันไปจับมือกับกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
คงเหลือประเทศไทยและสิงคโปร์ที่ยังยืนโด่เด่หลงติดยึดความฝันแห่งอดีตชนิดไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะกลุ่มขี้ข้าที่ถูกปลูกฝังล้างสมอง ไม่ยอมเงี่ยหูฟัง ไม่ยอมลืมตามองว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ยังคงประพฤติตนเป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป ผลก็คือถูกกดขี่ข่มเหงด้วยมาตรการต่างๆ สารพัด
โดยเฉพาะคือการให้เงินสนับสนุนกลุ่มมวลชนต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นในหลากหลายชื่อ หลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างความแตกแยกในประเทศ เพื่อมุ่งหวังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ และเพื่อหวังบีบบังคับให้รัฐบาลต้องจำยอมในสิ่งที่ต้องการ บรรดาการเคลื่อนไหวจำนวนมากในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้จับตาดูกันให้ดีๆ ว่า มีเบื้องหลังการสนับสนุนของใคร
แต่เผอิญรัฐบาลปัจจุบันนี้ไม่ยอมจำนนต่อคำบังคับทุกประการ คงยินยอมบางส่วน ไม่ยินยอมบางส่วน จึงเกิดการขัดอกขัดใจขึ้น ถึงขั้นบ่อนทำลายประเทศอย่างเปิดเผย ถึงขั้นแทรกแซงกิจการภายในประเทศอย่างออกหน้าออกตา ถึงขั้นระดมสื่อมวลชนขี้นกเข้ามาเป็นกระบอกเสียงลวงโลกเพื่อบ่อนทำลายรัฐบาลไทยและประเทศไทย
และมาถึงขั้นนี้เมื่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มออกท่าทีเปลี่ยนหลักนิยมทางอาวุธไปจัดหาจากกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ ไม่ว่ารถถังที่ซื้อจากจีน เฮลิคอปเตอร์ที่ซื้อจากรัสเซีย และเรือดำน้ำที่ซื้อจากจีน จึงนำไปสู่จุดแตกหักที่จะต้องจัดการกับรัฐบาลนี้ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และเวลาก็มาถึงแล้ว นั่นคือเดือนกุมภาพันธ์นี้แหละจะเป็นเดือนแห่งการเช็คบิลรัฐบาล คสช.
จะเช็คบิล คสช.นั้นก็เช็คกันไป แต่เรื่องที่ประชาชนชาวไทยจะยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาดก็คือแผนการจัดตั้งรัฐบาลหุ่นที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ ที่จะทำลายชาติบ้านเมืองของเราให้พินาศย่อยยับ
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้บรรดาคนไทยที่รักชาติรักบ้านรักเมืองจึงจำเป็นต้องวางความคิดที่แตกต่าง วางความขัดแย้งระหว่างกันไว้ชั่วคราวแล้วลุกขึ้นตระหนักถึงภยันตรายที่กำลังเกิดขึ้นและร่วมกันรับมือแก้ไขรักษาบ้านรักษาเมืองไว้ให้ลูกหลานสืบไป
ใครมีอำนาจ ถ้ายังคิดกล้าๆ กลัวๆ ก็ให้เตรียมตัวดูตัวอย่างของซัดดัมฮุสเซน แห่งอิรัก กัสดาฟี แห่งลิเบีย หรือโงดินเดียม แห่งเวียดนามก็ได้ และถ้าปักใจมั่นที่จะทำการพิทักษ์รักษาชาติบ้านเมืองแล้วไซร้ ก็ยังพอมีเวลาที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี