เมื่อครั้งที่ผมรับราชการอยู่สถานทูตไทย ณ กรุงมอสโก เกือบ 30 ปีก่อน ผมมีโอกาสเยี่ยมชมบ้านเมือง และโบราณสถานของโซเวียตรัสเซียอยู่พอสมควร โดยเฉพาะโบสถ์คริสเตียนนิกายออร์โธด็อกซ์ ซึ่งในหลายๆ แห่งสังเกตได้ว่า ที่หน้าประตูโบสถ์เก่าแก่มักจะมีระฆังวางอยู่กับพื้น ปฏิกิริยา หรือความรู้สึกแต่แรกก็คือ ระฆังคงชำรุด หรือหอคอยยอดโบสถ์สิ้นสภาพที่จะรับน้ำหนักระฆังได้อีกต่อไป แต่ก็ได้คำตอบชี้แจงว่า ระฆังชำรุดจริง แต่มิใช่ด้วยฝีมือธรรมชาติ หรือความไม่จีรังยั่งยืน แต่ก็ชำรุดเสียหายด้วยน้ำมือมนุษย์นี่แหละ
กล่าวคือ เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนโดยเฉพาะการกดขี่ข่มเหง หรือการออกคำสั่งที่เพิ่มทุกข์ เพิ่มภาระให้กับประชาชน ประชาชนก็มักจะมีการเรียกหา ป่าวประกาศเพื่อให้มาชุมนุมกัน เพื่อปรึกษาหารือว่าจะเอาอย่างไรกับผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใช้แต่อำนาจโดยมิชอบ หรือโหดร้ายทารุณ
และวิธีเรียกร้องให้เหล่าชาวบ้านต่างมาชุมนุมกัน ก็ไม่มีอะไรดีที่สุดในยุคสมัยโบราณด้วยการสั่นระฆังโบสถ์
ผู้ปกครองประเทศจอมโหดทั้งหลายก็เลยแก้เผ็ดด้วยการ นำระฆังลงมาแล้วก็ตัด “หู” หรือตะขอของระฆัง เพื่อมิให้มีการใช้เป็นเครื่องมือประท้วงกันได้อีก จากที่เคยลงโทษแค่ผู้คนที่กระด้างกระเดื่องด้วยการจำคุก หรือนำไปปล่อยไว้กลางเขตไซบีเรีย ก็ลามมาถึงการลงโทษเจ้าระฆังตัวร้ายทั้งหลายด้วย
นั่นเป็นประวัติศาสตร์ของผู้ปกครองเผด็จการทำโทษประชาชนและเครื่องมือประชาธิปไตย คือเจ้าตัวระฆัง
ย้อนกลับมาสู่ยุคประวัติศาสตร์ร่วมสมัยในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเรา คือ ไต้หวัน
ความว่า ช่วงปี พ.ศ. 2560 มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วไต้หวัน และก็ส่งต่อกันทางโทรศัพท์มือถือกันอย่างกว้างขวาง เป็นที่ตื่นเต้นฮือฮา นั่นก็คือ ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เหตุการณ์ตัดศีรษะรูปปั้นอดีตประธานาธิบดี จอมพลเจียง ไคเชก ทั้งที่โดยตลอดมาก็เป็นผู้นำที่กล่าวขวัญว่า เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างจีนใหม่ ด้วยการร่วมล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วก็สามารถปราบก๊กเหล่าต่างๆ ที่มีกองทัพของตนเองจนสำเร็จ สู้รบกับการรุกรานของญี่ปุ่น อีกทั้งได้ร่วมมือและต่อกรกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ภายใต้ ท่านเหมา เจ๋อ ตุง จนถูกฝ่ายหลังตีตกทะเล มาตั้งที่มั่นอยู่ที่เกาะไต้หวัน เป็นผลให้จีนเป็นจีนเดียวแต่ 2 ประเทศหรือ 2 ระบบการเมืองการปกครองจนทุกวันนี้
ในแง่หนึ่งสำหรับหลายคน ท่านจอมพลเจียง ไค เชก ถือว่าเป็นนักรบ เป็นนักปฏิวัติ เป็นรัฐบุรุษของจีนและของไต้หวัน แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ยังมีผู้ที่เห็นต่างไปว่า ท่านนายพลเจียง ไค เชก ที่แท้จริง คือจอมเผด็จการ โดยเฉพาะในช่วงการปกครองไต้หวันตั้งแต่แรกเริ่มจนสิ้นชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2518)
และบัดนี้เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่ไต้หวันได้เป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นประเทศพัฒนาที่พัฒนาภายใต้กรอบเสรีประชาธิปไตย
อนุชนรุ่นใหม่ของไต้หวันในวันนี้จึงเต็มอิ่ม ซาบซึ้งในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และเห็นว่าไต้หวันในยุคภายใต้ นายพลเจียง ไค เชก พร้อมด้วยกองทัพและพรรคก๊กมินตั๋งนั้นเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงมิใช่เรื่องน่าพึงที่จะไปกล่าวขวัญเคารพนับถือ และชื่นชม นายพลเจียง ไค เชก กันอีกต่อไป ก็เลยมีการเคลื่อนไหวรณรงค์เพื่อทำลายอนุสาวรีย์และความทรงจำเกี่ยวกับ นายพลเจียง ไค เชก
จนเมื่อปลายปีที่แล้ว รัฐสภาไต้หวันได้ออกกฎหมายให้มีการยกเลิกและทำลายล้างความเป็นเผด็จการของตัวและรัฐบาลเจียง ไค เชก อย่างสิ้นเชิงไปจนถึงการทบทวนหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนได้รู้ซึ้งข้อเท็จจริง ได้ตระหนักในบทเรียนจากสังคมเผด็จการ และฉะนั้น มุ่งศึกษาชีวิตสังคมเสรีและให้ความเป็นเสรีเป็นวิถีชีวิต
โดยทั่วไปนักเผด็จการมักจะให้ชื่อและนามสกุลตนเอง เป็นชื่อของสถานที่หรือโครงการต่างๆ และมีการจัดทำรูปปั้นเพื่อการระลึกถึง ทั้งช่วงที่ยังมีชีวิตและหลังจากชีวิตสิ้นสุด แต่ทั้งหมดมิใช่เป็น “อนุสาวรีย์”แห่งคุณงามความดี หากแต่เป็นการบ่งบอกความเป็นเผด็จการเสียมากกว่า และฉะนั้น สังคมไต้หวันก็ต้องก้าวไปข้างหน้ากับเสรีประชาธิปไตย และหนีจากอดีตเผด็จการอันขมขื่น
ก็เกิดเป็นคำถามทั่วไปว่า แล้วทำไมเราจะต้องมายอมรับและชื่นชมกับความเป็นเผด็จการด้วยเล่า?
เรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า ใครที่คิดจะตั้งตนเป็นเผด็จการควรได้พึงสังวรไว้ เพราะนอกจากถูกสาปแช่งในช่วงที่มีชีวิตอยู่แล้ว แม้ในอนาคตที่วิญญาณจากร่างไปแล้ว ก็มิใช่ว่าการสาปแช่งจากสังคมนั้นจะหายสิ้นไป แม้จะทำคุณูปการยิ่งใหญ่ไว้แค่ไหนก็ตามที
มีแต่ความถูกต้องเท่านั้นที่ยั่งยืน และมีแต่เสรีภาพเท่านั้นที่ประชาชนต้องการ
ที่รัสเซีย เผด็จการได้จากไปแล้ว แต่ระฆังยังคงตั้งอยู่ และในอนาคตอันใกล้ รูปปั้น หรืออนุสาวรีย์ หรืออนุสรณ์แห่งเผด็จการทุกรูปแบบ ก็คงจะไม่มีที่ยืนในพื้นแผ่นดินโลกกว้างนี้อย่างแน่นอน ไต้หวันได้แสดงให้โลกประจักษ์แล้ว
ไทยเรานั้น วันนี้ก็มีความคิดกว้างขวางใหม่ๆ ชนชั้นสูง ชั้นกลาง และปัญญาชน ที่เอนเอียงไปกับสังคมเผด็จการและผู้นำเผด็จการ ก็ดูสวนทางกับไต้หวัน และดูจะสวนทางกับคนไทยส่วนใหญ่เป็นแน่แท้ อยากให้สังคมเผชิญหน้าแบบชนชั้นกันอีกหรือ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี