ขณะนี้กำลังมีความสับสนขึ้นเกี่ยวกับเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ อันเนื่องมาจากพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงคณะของรัฐบาล คสช. ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์
หลังจากนั้นก็มีการกระแหนะกระแหนว่าเป็นการพูดที่ไม่ถูกต้อง เพราะรัฏฐาธิปัตย์หมายถึงผู้เป็นใหญ่ที่สุดของประเทศ และเลยเถิดไปถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทย
จากนั้นก็มีการขยายผลกันเป็นการใหญ่ จนทำให้มีความเข้าใจสับสนขึ้น เหตุนี้จึงควรที่จะได้ทำความเข้าใจเรื่องนี้กันสักครั้งหนึ่ง และความจริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเป็นเรื่องที่เคยมีปัญหาถกเถียงกันมาก่อนหน้านี้แล้ว และมีข้อยุติกันไปนานนักหนาแล้ว จนกระทั่งลืมกันไปแล้ว และเป็นเหตุให้คนบางจำพวกที่เข้าใจผิดคิดว่าคนไทยขี้ลืมเอามาบิดเบือนดังที่เป็นอยู่
เมื่อครั้งที่จอมพลถนอม กิตติขจร ปฏิวัติจัดตั้งรัฐบาลขึ้นหลายครั้งต่อเนื่องมาจนกระทั่งการจัดตั้งรัฐบาลโดยคณะปฏิวัติในระยะหลังๆ อีกหลายครั้งหลายหน ได้มีการออกประกาศหรือคำสั่งคณะปฏิวัติ หรือบางทีก็ตั้งชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น แต่รวมความก็คือเป็นคณะปฏิวัติอย่างเดียวกันนั่นแหละ
เมื่อออกเป็นประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิวัติแล้ว ก็มีการบังคับการปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศหรือคำสั่งนั้น และหลายเรื่องหลายกรณีเป็นประกาศหรือคำสั่งที่มีการกำหนดโทษทางอาญาไว้ด้วย หรือมิฉะนั้นก็มีโทษอย่างอื่น หรือมีบทบังคับอย่างอื่น
เพราะเหตุนี้จึงมีการนำคดีขึ้นสู่ศาลในหลากหลายกรณี และเป็นคดีหลายเรื่อง มีการต่อสู้คดีกันจนกระทั่งถึงศาลสูงสุด บางทีก็เป็นคดีถึงที่สุดในศาลทหารบ้าง ในศาลยุติธรรมบ้าง
ปัญหาที่ขึ้นสู่การพิจารณาคือประกาศหรือคำสั่งนั้นใช้บังคับได้หรือไม่? หรือมีฐานะเป็นกฎหมายหรือไม่? และบทลงโทษหรือมาตรการข้อกำหนดต่างๆ จะใช้บังคับได้หรือไม่? แม้กระทั่งปัญหาว่าคณะปฏิวัติที่ออกประกาศหรือคำสั่งนั้นมีฐานะเป็นอะไร?
ในที่สุดก็มีคำตัดสินที่เป็นไปในทางเดียวกันต่อเนื่องกันตลอดมาว่าคณะปฏิวัตินั้นมีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ คำว่า “รัฏฐาธิปัตย์” จึงปรากฏขึ้นนับแต่นั้นมา
และเพราะเหตุที่คณะปฏิวัติเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ดังนั้นจึงมีอำนาจที่จะออกประกาศหรือคำสั่งให้มีผลเป็นกฎหมาย หรือมีผลบังคับ หรือมีข้อกำหนดประการอื่นๆ ได้
ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่ว่านั้นจึงหมายถึงคณะปฏิวัติ ดังนั้นเมื่อมีการกล่าวอ้างว่าคณะ คสช. เป็นรัฏฐาธิปัตย์ จึงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรและไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกประหลาดอันใด เพราะเป็นไปโดยนัยดังกล่าวนั่นเอง
ดังนั้นหากมีข้อสงสัยประการใดก็สามารถตรวจค้นได้จากคำตัดสินต่างๆ ที่มีมาแล้วในอดีต ก็จะสามารถคลายความสงสัยหรือทราบความหมายที่แท้จริงได้
ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องมีปัญหาอะไรนักหนา แต่เนื่องจากประกาศหรือคำสั่งในอดีตนั้นมีบทบังคับที่ค่อนข้างรุนแรง และเป็นธรรมดาเมื่อเป็นคดีความขึ้นมาก็ต้องมีการต่อสู้คดีกันไป และเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาที่น่ายกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ เพราะเรื่องราวอันใดก็ตามที่ยังไม่มีความชัดเจนและเป็นปัญหาข้อสงสัยก็จำเป็นต้องหาข้อยุติ
และเมื่อมีข้อยุติแล้วก็ถือประพฤติปฏิบัติกันต่อมา และประพฤติปฏิบัติต่อมาลักษณะนี้เป็นเวลาช้านานแล้ว ดังนั้นการบังคับใช้ตามประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิวัติตลอดมาจึงมีการบังคับใช้ในฐานะที่เป็นกฎหมาย ไม่ว่าจะมีฐานะเป็นพระราชบัญญัติหรือกฎกระทรวงหรือพระราชกฤษฎีกา แล้วแต่กรณีที่จะมีการระบุหรือมีความหมายเกี่ยวข้องตามประกาศหรือคำสั่งนั้นๆ
หากพิจารณาในเชิงเหตุผลทางกฎหมาย ก็มีความชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่าเมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น สิ่งแรกที่มีการกระทำก็คือการยกเลิกรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้อยู่ในขณะนั้น ดังนั้นในยามนั้นจึงไม่มีรัฐธรรมนูญหรือไม่มีกฎหมายสูงสุดที่ใช้บังคับ
เพราะเหตุที่คณะปฏิวัติมีอำนาจและสามารถยกเลิกรัฐธรรมนูญได้ มีอำนาจที่จะดำเนินการใดๆ ก็ได้ทุกประการ แม้กระทั่งประหารชีวิตผู้คน หรือการตั้งกฎระเบียบหรือการออกคำสั่งให้ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติใดๆ ก็ได้ ฐานะที่มีอำนาจเช่นนี้คือสิ่งที่เรียกว่ารัฏฐาธิปัตย์
เนื่องจากในขณะนั้นไม่มีรัฐธรรมนูญใช้บังคับ เหตุนี้สิ่งที่เรียกว่ารัฏฐาธิปัตย์จึงมีความหมายในทางกฎหมายดังที่ได้ประพฤติปฏิบัติกันตลอดมา และมีการบังคับใช้ในฐานะที่เป็นผู้ตรากฎหมายหรือเป็นกฎหมายตามควรแก่กรณี
แต่บ้านเมืองของเราทุกวันนี้มีอาการแปลกๆ สิ่งที่มีการประพฤติปฏิบัติและมีการยอมรับนับถือปฏิบัติต่อเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัยกลับจะมาถูกบิดเบือนให้เป็นอย่างอื่น จึงทำให้เกิดความสับสนขึ้นในบ้านเมือง
แต่ที่น่าเวทนายิ่งกว่านั้นก็คือคนมีอำนาจหน้าที่ที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี กลับปิดปากเงียบไม่ชี้แจงทำความเข้าใจให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน จึงทำให้เกิดความสับสนเกิดขึ้นและขยายตัวไป
แต่จะติเตียนกล่าวโทษใครก็ไม่ได้ เพราะนี่ก็เป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งของการเอาพวก “ตาอยู่” ที่ไม่เคยรู้หนาวรู้ร้อนด้วยการแผ่นดิน หรือความทุกข์ยากเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎรเข้ามามีอำนาจ การส่งเสริมให้คนจำพวกนี้มีอำนาจจึงเป็นวิบากกรรมที่ต้องรับผลกรรมไปตามวิบากกรรมนั้นๆ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงตรัสสอนตลอดมาว่าต้องส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจในบ้านเมือง ต้องกำจัดขัดขวางอย่าให้คนไม่ดีมีอำนาจ พวกตาอยู่นี่แหละคือพวกคนไม่ดี เพราะในเมื่อไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักร้อนหนาวด้วยบ้านเมืองและราษฎร แล้วจะมาดูแลรับผิดชอบบ้านเมืองและราษฎรได้อย่างไร!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี