“ตอนนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ จะมาอะไรล่ะ” คำพูดของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล คสช. ในช่วงนี้ เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา
อะไรทำให้ท่านคิดว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ผมคิดว่าความเข้าใจผิดนี้ อาจเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้ คสช. ดูจะใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยเฉพาะการใช้มาตรา 44 เพื่อดำเนินการเรื่องต่างๆ ผมขอชวนคิดทางวิชาการสักนิดว่า รัฏฐาธิปัตย์เป็นอย่างไร และอำนาจตามมาตรา 44 มีขอบเขตมากน้อยเพียงใด
รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereignty) หมายถึงอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรือบางครั้งก็เรียกว่าอํานาจอธิปไตย ซึ่งในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2475 มีการทำรัฐประหารมาแล้วทั้งหมด 13 ครั้ง มีทั้งการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา จนไปถึงการฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
วิธีปฏิบัติโดยมากแล้ว คณะผู้ก่อการรัฐประหาร จะมีอำนาจอธิปไตย ที่เป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เรียกได้ว่ามีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์อยู่ในมือ ที่จะสามารถทำอะไรก็ได้ คำสั่งของคณะรัฐประหารก็จะเป็นกฎหมาย เอาว่า “สั่งให้เรียกหมูเป็นหมา หมูก็ต้องกลายเป็นหมา”
ในประเทศไทยส่วนใหญ่อำนาจอธิปไตยจะอยู่กับคณะผู้ก่อการเพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะหลังยึดอำนาจก็ต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพื่อใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในปกครองประเทศ คืนอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และถวายคืนพระราชอำนาจให้กับพระมหากษัตริย์ อย่างที่เห็นได้ในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ที่ประกาศใช้วันที่ 22 กรกฎาคม 2557 เท่ากับว่า “อํานาจอธิปไตย” อยู่ในมือ คสช. เพียง 2 เดือนหลังรัฐประหารเท่านั้น
สิ่งนี้ย้ำว่าอำนาจอธิปไตยไม่เคยไปไหน แต่เป็นของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัตินี้ เป็นไปตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ในการสละราชสมบัติว่า "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร"
รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 จนถึงรัฐธรรมนูญปี 2560 ฉบับปัจจุบันที่ผ่านการลงประชามติจากคนทั้งประเทศ อํานาจอธิปไตยก็ยังคงเป็นประชาชนคนไทย สภาพความเป็นรัฏฐาธิปัตย์คงเป็นของปวงชนชาวไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ไม่ใช่ คสช. หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
แม้จะเข้าใจตรงกันว่า ทุกคนต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อยู่ภายใต้กฎหมาย แต่เนติบริกรสายรัฐประหารก็จะซ่อนข้อความในมาตราใดมาตราหนึ่งประหนึ่ง “เช็คเปล่า” ให้คณะรัฐประหารสามารถใช้อำนาจได้เต็มที่ ดังเช่น “มาตรา 44” ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ที่ให้อำนาจ คสช. มีอำนาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทำการใดๆ ทั้งในทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งได้การรับรองในบทเฉพาะกาล มาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันปี 2560 ให้ คสช.ยังคงมีอำนาจนี้จนกว่าจะมีรัฐบาลหลังจากการเลือกตั้ง และมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า คล้ายกับมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองปี 2502 ในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีสาระสำคัญให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งการหรือกระทำการใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อระงับหรือปราบปรามการกระทำที่ก่อกวนคุกคามความสงบ หรือบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักรหรือราชบัลลังก์
แต่หากดูในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 แล้ว อำนาจตามมาตรา 44 ไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือใกล้เคียงกับความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ขนาดนั้น เพราะมีขอบเขตจำกัดจะใช้อำนาจได้ต่อเมื่อ 1.) การจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปด้านต่างๆ 2.) การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ และ 3.) เพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน เท่านั้น ไม่ได้เป็นอำนาจสูงสุดหรือเป็นรัฏฐาธิปัตย์อย่างที่เข้าใจผิดกัน
ที่ผ่านมาหลายครั้ง คสช. ก็ใช้มาตรา 44 แล้วเกิดประโยชน์ต่อบ้านเมืองอยู่หลายเรื่อง เช่น จัดการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนฟรี 15 ปี, สั่งรื้อโรงแรมและรีสอร์ทบนภูทับเบิก แต่หลายครั้งก็มีการออกคำสั่งที่เป็นอุปสรรคเช่นเดียวกัน อย่างการสั่งห้ามประชาชนนั่งท้ายกระบะและแค็บในช่วงเทศกาล
นอกจากนี้ยังมีการใช้อำนาจกลับไปแก้ไขกฎหมายจนเสี่ยงที่จะใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญ อย่างคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 แก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง แก้ไขระยะเวลาการดำเนินการต่างๆของพรรคการเมือง จากเดิมเริ่มตั้งแต่วันที่กฎหมายบังคับใช้วันที่ 8 ตุลาคม 2560 เลื่อนไปเป็นวันที่ 1 เมษายน 2561 และให้สมาชิกพรรคเดิมรายงานตัวสมัครใหม่ หากยังอยากเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดิมนั้นต่อ แต่ก็ยังไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองจัดประชุมพรรคได้จนกว่าจะประกาศกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ทำให้สุ่มเสี่ยงว่าพรรคการเมืองจะไม่สามารถดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้ทัน รวมถึงกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วยระบบไพรมารีโหวต จนเป็นข้ออ้างให้ สนช. ขยายวันบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก 90 วัน หลังจากที่ประกาศไปแล้ว ทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปอีกจากโรดแมปเดิม จากพฤศจิกายน 2561 เป็น กุมภาพันธ์ 2562
ปฏิกิริยาลูกโซ่ทางการเมืองเหล่านี้ ล้วนมีต้นเหตุจากการออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ซึ่งฝ่ายผู้มีอำนาจอาจจะเข้าใจผิดคิดว่า เป็นไม้กายสิทธิ์ที่ใช้อำนาจอธิปไตย อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ทำได้ทุกอย่าง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง ทั้งที่อำนาจนี้มีไว้ใช้เพื่อการปฏิรูป การสร้างความสมานฉันท์ และความมั่นคงเท่านั้น จึงเป็นเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าการใช้อำนาจมาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
ตัดกลับมาที่คำพูดของพลเอกประวิตรว่า “ตอนนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์” จนเป็นที่วิจารณ์กัน แต่เพียงวันถัดมา (31 ม.ค. 62) ไม่รู้ว่ามีใครไปพูดอะไรกับท่านหรือเปล่า ท่านก็ออกมาพูดกลางงานเลี้ยงหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมรวมถึงสื่อมวลชนสายทหารว่า “ ถ้าประชาชนไม่ต้องการ ผมก็พร้อมจะไปจากตำแหน่งนี้” ทันทีที่มีข่าวนี้ เพจใน Social Media หลายเพจ ต่างทำโพลล์สำรวจกันว่า “อยากให้อยู่” หรือ “อยากให้ไป” อย่างเพจ “ที่นี่ ThaiPBS” ที่เปิดให้แสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม ถึง 1 กุมภาพันธ์ มีผู้แสดงความเห็นประมาณ 192,000 รายชื่อ มีคนลงคะแนนอยากให้ไปกว่า 184,000 รายชื่อ คิดเป็นร้อยละ 96 ของผู้ลงคะแนนทั้งหมด และในเว็บไซต์ Change.org ก็มีการรณรงค์อยากให้รองนายกฯประวิตรลาออก มีผู้ลงชื่อแล้วทะลุ 5 หมื่นคน ซึ่งก็เป็นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของประชาชนในระดับหนึ่ง
จากที่พูดกันมาหลายย่อหน้าแล้ว ก็ต้องชมกันครับว่า การเข้ามาของ คสช. ก็มีเรื่องดีที่สำคัญ คือเป็นจุดริเริ่มให้มีการปฏิรูปประเทศ อย่างจริงจัง ถึงขนาดที่ต้องบัญญัติให้เป็นหมวดไว้ในรัฐธรรมนูญที่วางเป็นรากฐานเอาไว้ แต่จากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปด้านต่างๆ ขึ้นมา จนพอจะเห็นแนวทางการปฏิรูปเหล่านั้นแล้ว ก็เป็นกังวลใจเหลือเกินว่า การปฏิรูปที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นไปตามที่ประชาชนคาดหวังไว้ ทั้งการปฏิรูปการกระจาย
อำนาจ การปฏิรูปตำรวจ และการปฏิรูปท้องถิ่น ดูแล้วไม่ได้เป็นการปฏิรูปเพื่อให้อำนาจอยู่กับประชาชน แต่กลับเป็นการปฏิรูปเพื่อให้อำนาจกับราชการมากกว่า ซึ่งผมจะมาชี้ให้เห็นว่าการปฏิรูปในแบบประชาชนกับการปฏิรูปที่กำลังทำอยู่มันต่างกันยังไงในบทความต่อไป
แต่ตอนนี้ขอทิ้งท้ายไว้ว่า รัฐบาล คสช. จะได้ไปต่อหรือไม่ หรือจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องใดๆ ก็ตาม ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจะปฏิรูปประเทศได้ตามความต้องการของประชาชนได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะช่วงเวลาอีก 1 ปีนับจากนี้
ก่อนที่จะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
ขอปิดท้ายถึงผู้บริหารประเทศว่า ท่านไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้า อำนาจอธิปไตยอำนาจสูงสุดยังคงเป็นของปวงชนชาวไทย ที่ท่านยังอยู่ในอำนาจได้เพราะประชาชนยังมีศรัทธาว่า ท่านจะนำประเทศสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ได้ ขอให้รับฟังเสียงของประชาชนคนรอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี