เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีคำว่า “ประชาธิปไตยไทยนิยม” ออกมาจากปากของผู้นำคณะรัฐบาลชุดนี้ ทั้งๆที่ผู้คนทั้งหลายในบ้านเมืองรู้จักแต่คำว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มาโดยตลอดหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ.2475 และรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมาของประเทศ ก็ระบุกำหนดไว้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เคยมีฉบับไหนที่บอกว่า ประชาธิปไตยไทยนิยม
วันนี้จึงอยากพูดถึงเรื่องดังกล่าว
เพราะทุกวันที่เห็นร่วมสี่ปีเต็มในการใช้อำนาจบริหารบ้านเมืองนั้น ประเทศไทยตกอยู่ในรูปแบบของ “ประชาธิปไตยไทยระบม” มากกว่า ผู้คนในบ้านเมืองส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในสภาพของความระทมขมขื่นในการดำรงชีวิต ทั้งทางด้านการประกอบอาชีพและการดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยความยากลำบากมากขึ้น ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญไม่ว่าฉบับไหนที่ผ่านมาของบ้านเมืองบ้านเราเขียน บอกให้รู้ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยเป็นจริงอย่างที่เขียนไว้ เพราะมีคนเอาอำนาจของประชาชนไปใช้ตามใจชอบของตนตลอดเวลา
โดยเฉพาะในยุคของอำนาจปืน
การมีส่วนร่วมของประชาชนจริงๆมองแทบไม่เห็น เพราะถูกจำกัดด้วยข้อห้ามตามคำสั่งที่เขียนเอง เออเอง ว่าต้องปฏิบัติอย่างโน้นอย่างนี้ ขัดขืนไม่ได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพียงว่าบ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย
เมื่อเป็นอย่างนี้ ประชาธิปไตยไทยจะไม่ระบมได้อย่างไร
มองดูบ้านเมืองของเราแล้ว ก็ยังคงหลงติดอยู่ในวังวนของการใช้อำนาจ โดยบุคคลหรือคณะบุคคลมาโดยตลอด คำว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงตัวหนังสือ จึงทำให้การบริหารจัดการต่างๆของบ้านเมืองผิดเพี้ยน และมีประสิทธิภาพต่ำ เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของอำนาจอธิปไตยที่ไม่ได้เป็นของปวงชน ประชาชนมีเสรีภาพน้อยกว่าตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด บางส่วนในระดับสูงขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ประชาชนจำนวนมากไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือขาดความเท่าเทียมกันตามกฎหมายที่เขียนไว้ ผู้ปกครองไม่ได้มาจากประชาชนอย่างถูกต้องตามระบบ ที่ชอบใช้อำนาจอย่างเหิมเกริม ส่งผลให้การแก้ปัญหาต่างๆ เป็นไปในทิศทางของยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งแก้ยิ่งเกิดปัญหา อย่างเช่นในขณะนี้
การใช้อำนาจทางการเมืองการปกครองที่ไม่ถูกต้องอย่างนี้แหละ จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้มีอำนาจปกครองไม่สามารถปกครองได้ ประชาชนไม่ยอมให้ปกครอง ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงตามมาเหมือนในอดีต
ขณะนี้ร่องรอยแห่งความเสื่อมได้ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งมีปัญหามาจากความล้มเหลวในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาปากท้องของคนระดับล่างที่ยากลำบากที่สุด และที่สำคัญๆอีกหลายกรณีที่เป็นข่าวอื้อฉาว ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาเชื่อถือของประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวการประพฤติปฏิบัติตนที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมของผู้บริหารปกครอง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจาที่ไม่สมควร หรือกิริยาท่าทางในการแสดงออกที่ไม่เหมาะสม เฉพาะอย่างยิ่งกรณีเรื่อง “แหวนของมารดา นาฬิกายืมเพื่อน” ที่กำลังฟังไม่ขึ้น และกำลังไม่เชื่อถือองค์กรตรวจสอบของรัฐคือ ป.ป.ช. ที่ออกมาในลักษณะตะแบง ปกป้องอย่างค้านสายตาประชาชนอย่างมากในขณะนี้
ความตกต่ำจากความศรัทธาเชื่อถือกำลังสูงปรี๊ด
นี่หรือคือ “ประชาธิปไตยไทยนิยม”
อย่าเป็นคนที่หลงตัวเองว่าพูดอะไร ทำอะไร ต้องถูกไปทุกอย่าง ขอให้รับฟังคนอื่นบ้าง เพราะไม่มีอันตรายใดๆที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าอันตรายที่เกิดจากการใช้อำนาจอย่างไม่ลืมหูลืมตา ใช้อำนาจอย่างใจชอบให้ทุกคนต้องเดินตาม อย่าลุ่มหลงและเริงใจไปกับอำนาจที่ได้มาจากกระบอกปืน อยากออกกฎหมายหรือข้อบังคับใดเพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวก โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม หรือโดยไม่ฟังเสียงชาวบ้านแล้ว การกระทำเช่นว่านี้ไม่สามารถทำการปกครองให้ราบรื่นได้แน่นอน เพราะประชาชนจะไม่ยอมให้ปกครอง
แนวโน้มของเหตุการณ์ไม่สงบ และเหตุการณ์ที่จะเกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง กำลังมีทิศทางไปในหนทางนั้น เพราะความย่ามใจในอำนาจนั้นเป็นการกระทำของคนไม่ฉลาด ถ้าใช้อำนาจอย่างขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่ฟังคำตักเตือนที่ดี อยากจัดการด้วยวิธีการอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อความรวดเร็วและเด็ดขาด เพราะจะอาศัยกฎหมายปกติก็ไม่ทันการกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ตาม ต้องมีสติกำกับอยู่ตลอดเวลาด้วยว่า ไม่ใช้อำนาจนั้นไปกลั่นแกล้ง ข่มขู่ หรือบังคับให้ทำตามที่ตัวเองชอบ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม
อำนาจที่ได้มาจากการรัฐประหารเพราะโอกาสอำนวยให้นั้น ไม่ใช่คำตอบว่าจะอยู่ได้นานหรือไม่นาน เพราะแท้จริงแล้วอำนาจนั้นต้องอยู่ที่ประชาชนเชื่อถือด้วย เพราะถ้าประชาชนไม่เชื่อถือแล้ว ไม่ว่าใครก็อยู่ไม่ได้ทั้งสิ้น
เฉพาะอย่างยิ่งอยู่ที่หมู่คณะของตนด้วยว่าเป็นอย่างไร ได้รับความเชื่อถือในความซื่อสัตย์สุจริตมากน้อยแค่ไหนจากประชาชน มีจิตใจเสียสละในการทำงานให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน
และต้องเข้าใจให้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลาว่า การใช้อำนาจที่ยึดมาได้นั้น แท้จริงแล้วยังเป็นอำนาจของประชาชนในระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ “ประชาธิปไตยไทยนิยม”
ประชาชนเขาสงสัยในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของผู้คนในหมู่คณะของตน ที่ร่วมกันบริหารบ้านเมืองขณะนี้ ก็ต้องชี้แจงให้เขาหากสงสัย โดยเฉพาะผู้เป็นหัวแถวของหมู่คณะด้วยแล้ว ยิ่งต้องเป็นตัวหลักในการจัดการแก้ไขกับข้อสงสัยดังกล่าวให้กระจ่างโดยเร็วที่สุด
มิฉะนั้นก็ต้องเป็น “ประชาธิปไตยระบม” ต่อไป
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี