ประเทศไทยกำลังก้าวไปข้างหน้าไปสู่การที่จะเป็นชาติที่พัฒนาแล้วเหมือนประเทศในซีกโลกตะวันตกเช่นเดียวกับจีน,ไต้หวัน,ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้ หรือสิงคโปร์ ล่าสุดมีข้อมูลระบุว่าในปี 2561 หรือ 2018 ไทยจะมีรายได้ประชาชาติรวมประมาณ 1.296 ถึง 1.3 ทริลเลี่ยนเหรียญสหรัฐ และจะทำให้ในปีนี้คนไทยจะมีรายได้เฉลี่ยคนละ18,750 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือคนละประมาณ 6 แสนบาทต่อปี เฉลี่ยเดือนละ 5 หมื่นบาท
นี่เป็นข้อเท็จจริงที่คนไทย 66 ล้านคนจะต้องรับรู้ ไว้เป็นข้อมูลที่ปฏิเสธไม่ได้แม้นักการเมืองเป็นจำนวนมากจะออกมาโจมตีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาว่าไม่มีผลงานก็ตามที แต่ 3 ปีกว่าหลังรัฐประหารวันที่22 พฤษภาคม 2557 ทำให้ความก้าวหน้าของประเทศไทยมีทิศทางที่เห็นจับต้องได้ โดยจะมีปัญหาก็คือการกระจายรายได้ของประชากรที่ยังทำได้ไม่ดีเพียงพอเท่านั้นซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการให้เป็นมรรคผลโดยไม่ชักช้าและต้องทำให้เร็วมากกว่านี้
หากนำฐานะทางเศรษฐกิจของไทยไปเปรียบเทียบกับชาติเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ชาติจะพบความจริงว่าไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองมากหากนำไปเทียบกับเมียนมา,กัมพูชา,สปป.ลาว,เวียดนาม,มาเลเซีย,บรูไน หรือว่าสิงคโปร์,ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย สื่อสารมวลชนของไทยมีสิทธิเสรีภาพมากกว่าทุกๆ ชาติในอาเซียนด้วยซ้ำไป แม้ไทยจะมีรัฐบาลที่มาจากอดีตข้าราชการทหารในกองทัพก็ตาม
ปัญหาที่ยังมีแฝงเร้นในสังคมของประชาชนคนไทยที่ยังถือว่ามีการฝังรากลึกอยู่ก็คือความแตกแยกระหว่างชนชั้นของประชากรไทยทั้ง 66 ล้านคน ประชาชนส่วนหนึ่งอาจจะมากกว่าร้อยละ 50 ยังให้ความนิยมกับนักการเมืองที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่ระบอบการเมืองของเรายังมีปัญหาการทุจริตที่ยังฝังรากลึกในสังคมอย่างเหนียวแน่นคนไทยหลายๆ ล้านยังนิยมนักการเมืองโกงโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมและจริยธรรม
ซึ่งเป็นเรื่องที่แม้ไทยจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านความเห็นชอบของประชาชนส่วนมากไปแล้ว แต่รัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะมาแก้ไขปัญหาการทุจริตต่างๆ ได้ เพราะแม้แต่ในแวดวงพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของคนไทยส่วนใหญ่ก็จะพบว่ามีพระภิกษุสงฆ์จำนวนไม่น้อยที่ยังอาศัยผ้าเหลืองหารายได้เข้ากระเป๋าในทางที่มิชอบอยู่
จนทำให้มีกระแสเรียกร้องให้ประเทศมีการออกประมวลรัษฎากรใหม่ในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยการให้พระภิกษุสงฆ์ของไทยและอาชีพอื่นๆที่ยกเว้นการจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ เช่น กลุ่มเกษตรกรระดับบนที่มีฐานะร่ำรวยจากการขายผลผลิตต้องมีหน้าที่จ่ายภาษีเงินได้ให้รัฐบาลเหมือนคนที่ประกอบอาชีพอื่นๆ เช่นเดียวกัน
นี่คือความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมไทยยังมีการเอารัดเอาเปรียบกันอยู่ ซึ่งอีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยต้องรับรู้ไว้ก็คือกลุ่มอาชีพของคนกลุ่มใหญ่ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่รัฐมากกว่าเพื่อนยังเป็นข้าราชการประจำ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีจำนวนอยู่ประมาณ 4 ล้านคน รองลงมาได้แก่ กลุ่มนักธุรกิจและลูกจ้างระดับนักบริหารที่มีเงินเดือนสูงที่มีอยู่อีก 5 ล้านคน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่กลุ่มคนที่ยังชี้นำสังคมของประเทศก็คือประชาชนกลุ่มที่เสียภาษีดังกล่าวนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี