สัปดาห์นี้เพื่อสนองที่ คสช.แถลงไม่ห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง จากกรณีขบวนล้อการเมืองในการแข่งขันฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ประเด็นนาฬิกาหรูของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เราจึงขอวิเคราะห์ผลจากกรณีนี้ต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลงอย่างมากจนเกือบกลายเป็นวิกฤติศรัทธาต่อการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ต้องรับผิดชอบพิจารณาเรื่องการไม่แจ้งทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากความเคลือบแคลงใจในความเป็นอิสระของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้ที่หลายคนมาจากตำรวจและทหาร รวมถึงประธานป.ป.ช.ที่เคยเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองที่รายงานตรงต่อพลเอกประวิตร
แต่เพื่อให้ความเป็นธรรมกับ ป.ป.ช.ด้วย คงต้องยกประวัติการทำงานป.ป.ช.ที่ผ่านมาที่สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพและดำรงความเป็นกลางได้ดีพอสมควร มีการชี้มูลความผิดหลายคดีและเอาผิดผู้มีอิทธิพลได้หลากหลายวงการและสำหรับกรณีนาฬิกานี้ ประธาน ป.ป.ช.ก็ประกาศถอนตัวจากการพิจารณาในขั้นตัดสินสุดท้ายแล้วด้วย แต่กระนั้น ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่อาจลบล้างความเคลือบแคลงใจของประชาชนทั่วไปต่อการทำงานของกรรมการ ป.ป.ช.ที่เหลืออีก 8 คนได้มากนัก ดังที่สะท้อนจากผลสำรวจนิด้าโพลเรื่องการยืมนาฬิกาเพื่อนที่มีผลชัดเจนว่ามีคนถึง 61% เชื่อว่า ป.ป.ช. ถูกแทรกแซงการทำงานจากรัฐบาลและ คสช. และคน 76% เริ่มเห็นว่ารัฐบาลและคสช. มีความไม่ปกติและไม่โปร่งใส
สาเหตุหนึ่งของความเคลือบแคลงใจนี้คือความคิดเห็นประชาชนจำนวนมากที่ตีความเชื่อมโยงการถือครองนาฬิกาเหล่านี้โดยไม่แจ้งต่อ ป.ป.ช.กับโอกาสความสุ่มเสี่ยงเกิดคอร์รัปชัน จึงลดทอนความเชื่อมั่นต่อพลเอกประวิตรลง แม้ยังไม่มีการตัดสินชี้มูลออกมาเป็นทางการก็ตาม ดังเห็นได้จากผลสำรวจออนไลน์ของกลายสำนักข่าวและหลายกลุ่มประชาสังคม เช่นที่www.change.org ที่เสนอให้พลเอกประวิตรลาออก ก็มีคนสนใจเข้าร่วมลงชื่อสนับสนุนถึง 58,162 คน(ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561) ขณะที่โพลล์ออนไลน์เฟซบุ๊คเพจ “ที่นี่ Thai PBS”ของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสสรุปผลแสดงความเห็นตอบคำถาม“อยากให้พล.อ.ประวิตรอยู่หรืออยากให้ไป”ภายใน 24 ชั่วโมง มีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นถึง 192,000 รายชื่อ และลงคะแนน“อยากให้ไป”ถึง 96% ส่วนโพลล์สื่อออนไลน์อื่นๆ ที่ถามคำถามเดียวกันนี้ เช่น ต้องแฉ และ The Standard ต่างสรุปผลออกมาไม่ต่างกัน คือมีเสียงประชาชนให้พล.อ.ประวิตรลาออกในสัดส่วนที่มากกว่าต้องการให้อยู่ต่อแบบทิ้งห่างเห็นได้ชัด หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังปล่อยไปโดยไม่ชี้แจงให้กระจ่างหรือแก้ไขอย่างจริงจัง ตัวเลขในโพลล์ต่างๆ เหล่านี้ ก็มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นสูงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นวิกฤติศรัทธาต่อทั้งระบบเลยก็ได้
แน่นอนว่าโพลล์ออนไลน์เช่นนี้ไม่อาจสะท้อนความเห็นคนไทยทั้งประเทศได้อย่างครอบคลุม แต่จำนวนความเห็นที่มากเช่นนี้ ก็แสดงความสนใจของสังคมอย่างมาก จึงสมควรได้รับการชี้แจงที่ชัดเจน ดังนั้นตราบใดที่ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบการสืบสวนสอบสวนกรณีนี้ ยังไม่สามารถชี้แจงเรื่องราวได้กระจ่าง และยังขออนุญาตไม่เปิดเผยรายละเอียดข้อมูลเช่นนี้อยู่ ก็ยากที่ประชาชนจะหายเคลือบแคลงใจในการทำงานของหน่วยงาน
เมื่อมองด้วยความเป็นธรรม ความเห็นของสังคมนั้นอาจไม่ได้ประกอบด้วยข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ทำให้ยังขาดความชอบธรรมในการตัดสินว่า ใครผิดใครถูก จึงต้องวิเคราะห์จากแง่มุมของกฎหมายด้วย ซึ่งประเด็นนี้อัยการ ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ“ล่าความจริง”ของสถานีเนชั่นทีวี เมื่อ 29 มกราคม 2561 ว่า การยืมทรัพย์สินราคาสูงเกิน 200,000 บาทนั้นถือเป็นหนี้สิน ต้องแจ้ง ป.ป.ช. เพราะตามกฎหมาย ป.ป.ช.กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองต้องแจ้งทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน การกู้เงินหรือยืมเงินนับเป็นหนี้สิน จึงต้องแจ้ง ดังนั้นสำหรับกรณีนี้ อัยการปรเมศวร์มีความเห็นว่า การยืมนาฬิการาคาแพงแม้เรือนเดียวที่มีมูลค่าเป็นล้าน ก็ถือเป็นหนี้สินที่ต้องแจ้ง หากไม่แจ้งก็อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายของ ป.ป.ช.ได้
ในประเด็นนี้ เมื่อมองกลับไปในอดีต กรณีหนึ่งที่ ป.ป.ช.ได้แสดงความสามารถอย่างยอดเยี่ยม ชี้มูลความผิดนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมและส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จนมีคำพิพากษาศาลฎีกาฯตัดสินแล้วว่ามีความผิด จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ กรณีซุกเงินสด 17.5 ล้านบาท(คราวโจรปล้นบ้าน) และซุกรถยนต์ตู้โฟล์คราคา 3 ล้านบาท ก็มีการวิเคราะห์จากหลายสำนักข่าวว่า มีลักษณะคล้ายกับการไม่แจ้งทรัพย์สินนาฬิการาคาแพงหลายเรือนใน
ครั้งนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อทั้งความเห็นประชาชนในสังคม การวิเคราะห์แง่มุมกฎหมายและกรณีตัวอย่างคำพิพากษาพุ่งเป้ามาที่โอกาสชี้มูลเป็นความผิดได้ และหาก ป.ป.ช.ต้องการข้อมูลใดเพิ่มเติมประกอบการพิจารณา ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร เพราะนอกจากอำนาจตามกฎหมายที่ ป.ป.ช. มีอยู่แล้ว หน่วยงานต่างๆ ก็พร้อมสนับสนุน เช่น ล่าสุดอธิบดีกรมศุลกากรแถลงว่า กรมฯสามารถตรวจสอบการเสียภาษีนำเข้าของนาฬิกาหรูได้ ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร้องขอมา จึงเป็นความรับผิดชอบที่ ป.ป.ช.ต้องทำงานเข้มข้นและรวดเร็วเพื่อชี้แจงการพิจารณาอย่างชัดเจน เพราะมีประชาชนที่ยังเชื่อมั่นใน ป.ป.ช.กำลังรอฟังผลอยู่
ความจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่ฟังดูมืดมนไปเสียหมด กรณีนี้ทำให้เราได้รับรู้ว่า เมื่อประชาชนรวมตัวกันแล้ว สามารถสร้างผลกระทบต่อสังคมได้จริง หรืออย่างน้อยก็สามารถสร้างแรงกดดันให้ผู้มีอำนาจและหน่วยงานรัฐต้องชี้แจงและเร่งทำงานเพื่ออธิบายต่อสังคมให้ได้โดยเร็ว และที่สำคัญคือ ได้รับรู้ว่าประชาชนจะมีส่วนร่วมมากขึ้นเมื่อมีเครื่องมือที่เหมาะสมมาสนับสนุน เช่น กรณีนี้ที่สังคมรับรู้ว่ามีนาฬิกาถึง 25 เรือนก็เพราะมีการนำเทคโนโลยีมาสร้างฐานข้อมูลให้ประชาชนช่วยส่งข้อมูลมาให้
สุดท้าย อีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญไม่น้อยกว่าการเร่งพิจารณาและแถลงชี้แจงคำชี้มูล คือการที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอร์รัปชันทั้งรัฐ เอกชนและประชาสังคม จะต้องหาทางป้องกันเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่วิกฤติศรัทธาต่อหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชันได้อีกในอนาคตและแนวทางป้องกันที่น่าจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีที่สุดคือการสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง โดยอาศัยเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนด้วย
ดังนั้น จึงควรให้การสนับสนุนโครงการต่อต้านคอร์รัปชันต่างๆ ที่เราเคยนำเสนอไปแล้วอย่าง โครงการ “สังคมดี๊ดี สองนาทีง่ายๆ” ของโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต ที่ให้ประชาชนส่งความเห็นต่อการรับบริการภาครัฐโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน โครงการ“ต้องแฉ”ที่เปิดเพจเฟซบุ๊คให้ประชาชนร่วมส่งข้อมูลเกี่ยวกับการคอร์รัปชันเพื่อให้สำนักข่าวสืบสวนสอบสวนมาดำเนินการต่อ และเว็บไซต์“ภาษีไปไหน”ที่เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอย่างเป็นระบบ
ทั้งหมดนี้จึงสร้างความท้าทายกับ ป.ป.ช. มากพอสมควร ทั้งการจัดการกับกรณีที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า และการสร้างแนวทางป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต เราในฐานะประชาชนที่ยังมีความหวังกับการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทยอยู่จึงขอเป็นกำลังใจให้ ป.ป.ช.สามารถฝ่าฟันวิกฤตินี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย เพื่อเป็นที่พึ่งให้สังคมไทยต่อไปนะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี