ตามปกติแล้วคำว่า ไซด์ไลน์ (sideline) ต้องหมายถึงงานประกอบ งานปลีกย่อย หรืองานซึ่งไม่ใช่งานในภาระหน้าที่หลัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใดที่คนหนึ่งคนจะมีงาน sideline หากเขาผู้นั้นไม่ได้ขาดตกบกพร่องต่องานในหน้าที่หลัก
แล้วถ้าหากมีคนบางคนซึ่งมีตำแหน่งสูงส่งอย่างมาก เพราะได้เป็นถึง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) แต่กลับสารภาพกับสาธารณชนว่า
“ตลอดชีวิตรับราชการของผม เกือบจะเรียกได้ว่าอาชีพตำรวจนี่ถือว่าเป็นไซด์ไลน์ อาชีพหลักๆ ผมคือทำธุรกิจ ซึ่งคนในแวดวงธุรกิจรู้เรื่องดี โดยเฉพาะเรื่องหุ้นผมนิยมมาก ผมมีรายได้ ผลกำไรจากการเล่นหุ้น และก็เสียหายเพราะการเล่นหุ้นเช่นกัน ดังนั้นช่วงที่หมุนเงินไม่ทันก็ไปยืมเงินคุณกำพล ซึ่งการรวบรวมเงินไปคืนคุณกำพลจำนวน 300 ล้านบาทนั้น ต้องเรียนว่าการชดใช้ บางครั้งถ้ามีเงินสดก็ชดใช้เป็นเงินสด ถ้าไม่มีเงินสด ต้องเอาที่ดินไปให้เขาก็ยังมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมและคุณกำพลอยู่ในแวดวงพระเครื่อง บางครั้งก็มีการชดใช้หนี้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน” (อ้างอิงจาก https://www.isranews.org/isranews-article/63368-somyot6.html และอ้างอิงจากคำสัมภาษณ์ของ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ในรายการเจาะลึกทั่วไทย inside Thailand สปริงนิวส์ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561)
สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง มียศพลตำรวจเอก เป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ซึ่งการเป็นสมาชิกสนช.นั้น ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และหัวหน้าคสช.ก็มีสถานะเป็นหัวหน้ารัฐบาลในยุคปัจจุบันด้วย
ส่วนกำพล ในข้อความข้างบนคือ กำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของสถานอาบอบนวดชื่อวิคตอเรีย ซีเครท ซึ่งถูกระบุว่าเป็นสถานอาบอบนวดที่มีการค้ามนุษย์ เพราะนำเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ไปค้าบริการทางเพศ และขณะนี้กำลังหลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน โดยที่ตำรวจไม่มีปัญญานำผู้หลบหนีคดีรายนี้กลับมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
ขอให้วิญญูชนโปรดพิจารณาคำพูดต่อไปนี้ ย้ำว่าโปรดพิจารณาคำพูดต่อไปนี้ เหตุที่ต้องพิจารณาคำพูดนี้ก็เพราะนี่คือคำพูดจากปากของอดีตผบ.ตร. ชื่อสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
“เพราะผมมั่นใจว่าตลอดเวลาชีวิตราชการผม รายได้หลักของผมมาจากธุรกิจ มาจากการเล่นหุ้น ดังนั้น ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าผมไม่เคยไปยุ่งกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย”
สมยศบอกว่าไม่เคยยุ่งกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย แต่โปรดพิจารณาประโยคต่อไปนี้
“กรณีคุณกำพลทำธุรกิจอาบอบนวด อาจจะเป็นสีเทาๆ แต่ก็มีเปิดอยู่ถึง 81 แห่งทั่วประเทศไทย เพราะฉะนั้นถ้าคุณกำพลทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้ ก็ปิดอาบอบนวดมันให้หมดไปเลย จะได้หมดเรื่องหมดราวไป”
สมยศบอกว่า “...ธุรกิจอาบอบนวด อาจจะเป็นสีเทาๆ...”
ขอถามสมยศว่า ธุรกิจสีเทาๆ หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าธุรกิจอาบอบนวดบริสุทธิ์และถูกกฎหมายอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ กระนั้นหรือ
แล้วมีคำถามจากสาธารณชนว่า ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อรู้อยู่เต็มอกว่า อาบอบนวดเป็นธุรกิจสีเทาๆ แล้วเหตุใดจึงยังเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเจ้าของธุรกิจสีเทาๆ ทั้งๆ ที่ตนเองมีสถานภาพเป็นตำรวจ แล้วแถมยังเป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกด้วย
รับรองว่าไม่มีใครสามารถกล่าวคำตำหนิหรือนินทาตำรวจที่ขายก๋วยเตี๋ยวนอกเวลาราชการ แล้วเรียกอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวว่าเป็นงาน sideline ของอาชีพหลักคือตำรวจ แต่มันเป็นเรื่องงามกระนั้นหรือ กับการที่คนระดับผบ.ตร.บอกกับสาธารณชนว่าอาชีพตำรวจเป็นอาชีพ sideline
สมยศอาจจะพูดเรื่องนี้ตามความเป็นจริง เพราะพูดตามความรู้สึกลึกๆ และพูดไปตามการกระทำโดยแท้จริงของตน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงทำให้สาธารณชนตั้งคำถามว่า อาชีพตำรวจเป็นเพียง sideline เท่านั้น ส่วนอาชีพหลักๆ คือ ทำธุรกิจ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงมีผู้สงสัยว่า แล้วผู้ที่ตอบเช่นนี้จะทุ่มเททำงานอะไรมากกว่ากัน ระหว่างงานหลักกับงานไซด์ไลน์
ประเด็นต่อมาที่สาธารณชนตั้งคำถามกันมากคือ หากสมยศไม่ใช่ตำรวจ และไม่ใช่ผบ.ตร. กำพลจะให้สมยศยืมเงินรวมๆ กันมากมายถึง 300 ล้านบาทหรือไม่
แล้วคำถามต่อมาคือ อะไรทำให้กำพลต้องยอมให้สมยศยืมเงินรวมๆ กันแล้วมากถึง 300 ล้านบาท กำพลให้ยืมเพราะเห็นแก่ความเป็นตำรวจระดับสูงของสมยศ ใช่หรือไม่ หรือว่าในชีวิตจริงนั้น กำพลให้คนทุกคนยืมเงินจำนวน 300 ล้านบาทได้ โดยไม่จำเป็นต้องดูว่าคนยืมทำอาชีพ หรือมีหน้าที่การงานอะไร
คำถามต่อมาคือ ตำรวจทั่วๆ ไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าตำรวจรายใด หรือชื่ออะไร ควรจะมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบการยืมเงินจากเจ้าของบ่อน ซ่อง หรือสถานอาบอบนวด กระนั้นหรือ
ขอถามคำถามข้างต้นนี้กับคนที่เป็นมีอาชีพเป็นตำรวจทุกระดับชั้น และทุกชั้นยศ โดยไม่ได้เจาะจงว่าคนนั้นต้องเป็นผบ.ตร. และขอย้ำว่าตำรวจทุกคนจำเป็นต้องตอบคำถามนี้ให้ชัดเจน
พูดก็พูดเถอะ การที่ตำรวจจะอ้างแบบปัดสวะว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีบ่อน ซ่อง หรือสถานอาบอบนวดที่มีการขายบริการทางเพศซ่อนอยู่ภายใน (บางแห่งก็ไม่ได้หลบซ่อน แต่เปิดขายบริการแบบโจ่งแจ้ง เพราะคนทุกคนรู้กันดีว่าที่แห่งนั้นคือบ่อนและซ่อง) แถมสถานอาบอบนวดเหล่านั้นยังมีการค้ามนุษย์อีกด้วย การตอบเช่นนี้ จะทำให้สาธารณชนเชื่อได้หรือ ก็ในเมื่อคนทั่วไปยังรู้ว่าตรงไหนมีบ่อน มีซ่อง และมีการค้าบริการทางเพศ โดยเฉพาะการค้าบริการทางเพศที่เข้าข่ายค้ามนุษย์ แล้วเหตุไฉนตำรวจจึงจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องผิดกฎหมายเหล่านั้น แล้วคิดหรือว่าการแก้ตัวดังกล่าวจะทำให้สาธารณชนเชื่อถือ
การที่เมืองไทยยังคงมีบ่อน มีซ่อง และมีการค้าบริการทางเพศเปิดบริการกันอย่างโจ๋งครึ่ม จนเรียกได้ว่าเปิดขายบริการกันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เกรงฟ้า ไม่อายดี และไม่สนใจว่าประชาชนจะตำหนิติเตียนอย่างไร เป็นเพราะว่ามียังผู้ใช้บริการ แล้วก็มีตำรวจจำนวนหนึ่งที่รู้เห็นเป็นใจกับการเปิดบริการที่ผิดกฎหมายดังกล่าว
เมื่อตำรวจซึ่งได้ชื่อว่าเป็นต้นขบวนของกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทยสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดี จนถึงขั้นสามารถหยิบยืมเงินกับเจ้าของบ่อน ซ่อง และสถานค้าบริการทางเพศได้แล้ว สังคมไทยจะปราศจากการมีแหล่งกระทำผิดกฎหมายนานาชนิดได้อย่างไร
อาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่ต้องไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้กระทำผิดกฎหมาย หากตำรวจมีความสัมพันธ์อันแสนดีกับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายแล้ว ก็ป่วยการกับการมีตำรวจอีกต่อไป เพราะเมื่อตำรวจกับผู้กระทำผิดกฎหมายมีความสนิทชิดเชื้อและเกื้อหนุนกันเสียแล้ว จะต้องมีตำรวจไปเพื่ออะไร ยกเว้นเสียแต่ว่า จะมีตำรวจไว้เพื่อให้ตำรวจกับคนทำผิดกฎหมายร่วมมือช่วยกันกระทำผิดกฎหมายไปด้วยกัน
ไม่มีใครตำหนิสมยศที่จะบอกว่างานตำรวจเป็นเพียงไซด์ไลน์ของตนเอง เพราะเป็นสิทธิ์ของสมยศ แต่สิ่งที่สังคมตั้งคำถามกับสมยศคือความใกล้ชิดกับกำพล และเรื่องการยืมเงิน 300 ล้านบาท จากกำพล แน่นอนว่าสมยศอาจจะดูโปร่งใสมากกว่านายทหารบกยศสูงสุดรายหนึ่งที่อ้างว่ายืมนาฬิกาหรูราคาแพงแสนแพงมาจากเพื่อน แล้วเพื่อนก็ตายไปแล้ว เพราะอย่างน้อยสมยศก็บอกว่าแจ้งเรื่องนี้กับป.ป.ช.และมีการคืนเงินโดยผ่านกระบวนการของธนาคารและตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีคำถามจากสาธารณชนเหมือนเช่นเคยว่า เป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ กับการที่ผบ.ตร.ยืมเงินจากเจ้าของสถานอาบอบนวดที่ถูกระบุว่าค้ามนุษย์ ส่วนคำตอบเรื่องนาฬิกาหรูกับทหารยศสูงสุดรายหนึ่งนั้น สาธารณชนมีคำตอบชัดๆ อยู่ในใจมานานแล้วว่า ใครพูดจริง และใครโกหก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี