สถานการณ์ราคามันสำปะหลัง พืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของไทยในปีนี้ กระเตื้องขึ้นมาจากปีที่แล้ว
1. ปัจจุบัน ราคาส่งออกมันเส้นสูงกว่า 215 เหรียญสหรัฐต่อตัน (จากเดิม 200 เหรียญสหรัฐต่อตัน)เป็นแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง
นายบุญชัย ศรีชัยยงพานิช นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย เผยว่า ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2561 คาดการณ์ว่าจะน้อย ไม่น่าจะเกิน 26 ล้านตัน โดยเฉพาะภาคอีสาน เพราะพื้นที่เพาะปลูกน้อยลง โดยผลผลิตออกมากที่สุดช่วงเดือนมกราคม-เมษายนของทุกปี ส่งผลให้ราคาดีขึ้น
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จีนมีความต้องการนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตลาดจีนจะเพิ่มปริมาณการนำเข้าอีก หลังจากหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน เนื่องจากราคาเฉลี่ยข้าวโพดจีนได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงต้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1,672 หยวน/ตัน ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ราคาเฉลี่ยในปัจจุบัน 1,795 หยวน/ตัน เพิ่มขึ้น 123 หยวน/ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 7
“ปัจจุบันราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดโลก ส่งผลให้ราคามันสำปะหลังทั้งของไทยและของประเทศเพื่อนบ้านดีขึ้นทั้งระบบ จึงอยากขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ ให้รับซื้อมันสำปะหลังจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดด้วย เพื่อที่กระทรวงพาณิชย์จะได้ไม่ต้องออกมาตรการกำกับดูแลเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นภาระของผู้ประกอบการในที่สุด นอกจากนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาการพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดจีน กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) ได้ร่วมกับสมาคมมันสำปะหลังที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมขยายตลาดสินค้ามันสำปะหลัง อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ มีกำหนดนำคณะภาคเอกชน เดินทางไปเจรจาและขยายตลาดมันสำปะหลังในประเทศตุรกีและนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการนำเข้ามันสำปะหลังไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์”
2.สถานการณ์เช่นนี้ นับเป็นข่าวดีสำหรับชาวมันสำปะหลังในประเทศไทย
มันสำปะหลัง นับเป็นพืชอาหารที่ให้แป้ง (Carbohydrate Crops) ที่มีความต้องการบริโภคมากเป็นอันดับ 5 ของโลก (ข้อมูลในปี 2559) คิดเป็นสัดส่วน 9% ของการบริโภคพืชอาหารที่ให้แป้งทั่วโลก รองจากข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าว และมันฝรั่ง
โดยถูกใช้เป็นอาหารสัตว์ เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงเอทานอล เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ กรดมะนาว เครื่องนุ่มห่ม ยา กระดาษและกาว เป็นต้น
ปัจจุบัน ไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังรายใหญ่สุดของโลก ตามด้วย เวียดนาม
แป้งมันสำปะหลังของไทยกินส่วนแบ่งในตลาดส่งออกถึง 77% ของปริมาณส่งออกโลก
แต่ประเทศผู้ผลิตมันสำปะหลังอันดับหนึ่งของโลกไม่ใช่ไทย คือ ไนจีเรีย (20% ของผลผลิตทั่วโลก)
ตามด้วยประเทศไทย 11%
ตามด้วยอินโดนีเซีย 9% และบราซิล 8%
พื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังในไทย ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่นครราชสีมา กำแพงเพชร ชัยภูมิ กาญจนบุรี และอุบลราชธานี อันเป็นที่ตั้งของธุรกิจแปรรูปมันสำปะหลังด้วย
ผลผลิตมันสำปะหลังในไทย ราว 40% ถูกนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตากแห้ง (โดยเกือบทั้งหมดเป็นการผลิตมันเส้น ซึ่งมันเส้นนั้นถูกใช้ในประเทศ 15% และส่งออก 85%)
ส่วนอีก 55% ของผลผลิตมันสำปะหลังไทย ถูกแปรรูปเป็นแป้งมันสำปะหลัง (ส่วนใหญ่ส่งออก)
ที่เหลือราวๆ 5% ถูกใช้ในการผลิตเอทานอล
ที่น่าสนใจ คือ ตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทย เดิมไทยเราพึ่งพาตลาด EU เกือบทั้งหมด
ล่าสุด ตลาดหลักของเรา คือ จีนและเอเชีย คิดเป็น 75% ของปริมาณการส่งออกมันสำปะหลังทั้งหมดของไทย โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นการส่งออกในรูปผลิตภัณฑ์แปรรูปอย่างง่ายและมีมูลค่าเพิ่มต่ำ เช่น มันเส้น
น่าจับตาว่า สินค้าจำพวกแป้งมันสำปะหลังดัดแปร เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง (Value Added) สามารถทำกำไรได้สูงกว่า ยังมีปริมาณการส่งออกน้อย ไม่ถึง 10% ของการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดของไทย ทั้งๆ ที่ ความต้องการในตลาดโลกขยายตัวดี ตามทิศทางของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง จำพวกเครื่องสำอางและยา
แม้ในปีนี้ สถานการณ์ดูท่าทางจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว แต่ในระยะต่อไป อุตสาหกรรมมันสำปะหลังคงจะต้องพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน มาอยู่อีกจุดหนึ่ง มิฉะนั้น ก็จะต้องวนเวียนในวังวนปัญหาเดิมๆ
3.กรรมเก่า หรือมรดกบาป ที่ตกค้างมาจากยุครัฐบาล “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” อย่างหนึ่ง คือ ความเสียหายจากการรับซื้อมันสำปะหลังของภาครัฐ แล้วนำไปขายให้เอกชน อ้างว่าขายแบบจีทูจี ซึ่งสร้างความเสียหายร้ายแรง มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
ขณะนี้ การตรวจสอบกรณีทุจริตระบายมันสำปะหลังจีทูจีเก๊ ยังอยู่ในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.
ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้มีการทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 7 สัญญา ปริมาณรวม 4,790,000 ตัน มูลค่ารวม 30,642 ล้านบาท
ปรากฏว่า บริษัทที่เข้ามาทำสัญญากับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ไม่ใช่บริษัทที่ได้รับมอบหมายหรือรับมอบอำนาจจากรัฐบาลจีน ให้เข้ามาทำสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (หรือจีทูจี) แต่ได้มีการเอื้ออำนวยช่วยเหลือให้ได้ทำสัญญากับรัฐ โดยมุ่งหมายหรือหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ได้มันสำปะหลังของรัฐไปในราคาถูกกว่าราคาตลาด
เข้าอีหรอบเดียวกับข้าวจีทูเจี๊ยะนั่นเอง
แถมเอาเข้าจริง มันสำปะหลังจีทูจีนี่ถือเป็นต้นแบบเลยก็ว่าได้
ตัวละครที่เกี่ยวข้องในวงการอำนาจรัฐยุคนั้น ก็ล้วนเป็นก๊วนเดียวกันกับคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีเก๊
“นาย ว.” ผู้มีตำแหน่งทางการเมืองใกล้ชิดรัฐมนตรี ที่ยังหนีคดีข้าวจีทูจีอยู่นั่นเอง เป็นผู้เจรจาให้เอกชนในประเทศมาซื้อมันสำปะหลังในราคาพิเศษ ด้วยการอ้างจีทูจีบังหน้า จัดแจงให้เอกชนจ่ายแคชเชียร์เช็คให้กับกรมการค้าต่างประเทศ และส่งแคชเชียร์เช็คมอบให้กับนาย ส.
งานนี้ “นาย ว.” มีตำแหน่งใกล้ชิดรัฐมนตรี ปรากฏว่า เคยเป็นผู้บริหารบริษัท P และถือหุ้นบริษัท P กว่า 1 ล้านหุ้น แต่โอนไปให้ผู้อื่นเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2554 ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองไม่นาน แล้วจากนั้นก็เอื้ออำนวยช่วยเหลือให้บริษัท P สามารถซื้อมันสำปะหลังไปจากรัฐในราคาพิเศษ โดยอาศัยจีทูจีบังหน้า
ปัจจุบัน ป.ป.ช.ยังไต่สวน ใช้เวลาข้ามปีมาแล้ว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี