การปรากฏตัวของอดีตนายกฯหญิงท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ขณะที่ภาครัฐยังตีมึน ไม่แน่ใจภาพถ่ายหลักฐาน การประสานงานตรวจสอบข้อมูลก็ยังทำอยู่ไม่มีสิ้นสุด เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ถ้าย้อนไปไม่กี่เดือน เมื่อตอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีออกจากประเทศไทย กระทั่งปรากฏภาพถ่ายในอังกฤษ ก็ยังทำมีท่าทีไม่เชื่อภาพถ่าย วิธีการแบบนี้น่าจะใช้ได้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในยุคที่โซเชียลมีเดียยังไม่เฟื่องฟูเท่ายุคนี้ที่ไม่มีอะไรสามารถปิดหูปิดตาประชาชนได้อีก จึงเกิดคำถามต่อความจริงใจของรัฐบาลที่ไม่อาจใช้สำนวนโวหารหรือข้อบาลีทางกฎหมายมาตบตาประชาชนได้อีกต่อไป ขณะที่ฟากฝั่งแกนนำมวลชนที่ออกมาแสดงพลังรอบนี้ แม้เป็นกลุ่มเดิมๆ แต่ปรากฏกระแสตอบรับของประชาชนที่เปลี่ยนไปจากเดิม จนหลายคนที่เคยอยู่ในกระบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ มองว่าใกล้ถึงจุดแห่งความเปลี่ยนแปลงแล้วใช่หรือไม่?
เรื่องนี้ต้องแยกให้ออก 1.ระหว่างความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมกับกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง กับ 2.ปัจจัยสู่ชัยชนะของกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงจะประเมินสถานการณ์และกำหนดการเคลื่อนไหวได้ถูก เพราะหากมองเพียงมุมของตัวเอง แล้วใช้วิธีเดิมๆ ในขณะที่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ผลลัพธ์อาจเลวร้ายมากกว่าที่คิด โดยรัฐบาลอาจมองว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมสองครั้งล่าสุด ดูจะสอดคล้องต้องกันกับการปรากฏตัวของน.ส.ยิ่งลักษณ์และพี่ชายที่ขยับเข้ามาใกล้ประเทศไทยมากขึ้น ตลอดจนมีข่าวทำนองว่า ระดับแกนนำมีการติดต่อหรือบินไปหา ใช่หรือไม่?
ขณะที่ปัจจัยรุมเร้าทั้งคดีเก่าๆที่ค้างคา ตลอดจนการประเมินสถานการณ์คะแนนนิยมรัฐบาล คสช.จากโพลล์ต่างๆ ที่ดูตกต่ำจนเข้าทางฝ่ายตรงข้าม รูปแบบลักษณะนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น ถ้าย้อนไปดูเหตุการณ์บ้านเมืองปี 2552-2553 หลังจากศาลตัดสินความผิดและมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ในเวลาไม่นานจึงเกิดการเคลื่อนไหวกลุ่มมวลชนและยกระดับความรุนแรงขึ้น เมื่อการดำเนินการด้านการต่างประเทศของรัฐบาลขณะนั้นรุกหนักเอาจริงเอาจัง อยู่ๆ ก็เกิดความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เดินทางมาใกล้ประเทศไทยมากขึ้นเช่นเดียวกับสถานการณ์ตอนนี้ และมีแกนนำที่บินไปพบในลักษณะไม่ต่างกันพร้อมกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มแกนนำมวลชนเสื้อแดงในประเทศ ให้จับตาดูคำสัมภาษณ์แกนนำพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่เริ่มมีจังหวะการพูดทำนองปลุกระดมมากขึ้น ใช่หรือไม่? ทั้งในส่วนเรื่องชนชั้น ทั้งในส่วนเรื่องสองมาตรฐานเพื่อบีบเร้ามวลชน
ในขณะที่ระดับแกนนำ คสช.กลับตอบสัมภาษณ์ด้วยทำนองไม่ให้ราคา เพราะเชื่อในรูปแบบที่คิดว่า จัดการได้ แล้วปล่อยปละละเลยที่จะใช้เครื่องมือด้านการต่างประเทศอย่างจริงจังในการจัดการปัญหา ผลที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ก่อนที่พี่น้องอดีตนายกฯจะมาปักกิ่ง ก็ได้เจรจาล็อบบี้กับประเทศที่พำนักก่อนหน้าแล้ว ใช่หรือไม่? ขณะที่ตอนนี้ก็ไม่อยู่ที่ปักกิ่งแล้ว เคลื่อนตัวมาอยู่ที่ญี่ปุ่น มิใช่หรือ? ประเด็นที่หลุดมาทางข่าวถึงกับระบุว่า เป้าหมายการเดินทางไปประเทศต่างๆ โดยใช้คอนเนคชั่นทางการเมืองและธุรกิจที่มีอยู่ เพื่อใช้ยุทธวิธีโลกล้อมไทย ดังนั้นท่าที่ของรัฐบาลคสช.ที่แสดงออกมาประหนึ่งทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่รับรู้การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ปรากฏในโวหารตอบคำถามสื่อต่อกรณีไม่จัดการออกหมายเรียกตามขั้นตอนกฎหมายระหว่างประเทศ หรือแม้แต่กระบวนการต่างๆ ภายใต้เครื่องมือการต่างประเทศ จึงกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนศรัทธาของกลุ่มประชาชนที่มีต่อนายกฯให้ลดความน่าเชื่อถือ จนเกือบจะกลายเป็นความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อรัฐบาล คสช.
จากความสัมพันธ์ข้างต้น ต้องบอกว่ามันคือคนละเรื่องกับปัจจัยที่นำไปสู่ชัยชนะของกลุ่มเคลื่อนไหว เพราะในประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบรูปแบบการชุมนุมและการต่อสู้ทางการเมืองหลายรูปแบบ แต่เอาเฉพาะรูปแบบที่ได้รับชัยชนะ หรือทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้มีเพียง 4 ครั้งเท่านั้น ใน 4 ครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเมือง 3 ครั้ง คนต่างจังหวัด 1 ครั้ง แต่ใน 4 ครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาลจากการเลือกตั้งทั้ง 4 ครั้ง และใน 4 ครั้งนี้ แม้มีกลุ่มเริ่มต้นหรือกลุ่มแกนนำเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน แต่ต้องยอมรับว่าสุดท้ายก็ได้รับแรงหนุนจากกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามน่าจะทุกครั้ง หากแต่รอบนี้ที่จะเกิดขึ้น อาจมีรูปแบบที่แตกต่างไปจาก 4 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่า จะเกิดขึ้นไม่ได้ และก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่สำเร็จ
การเคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อปี 2540 ตอนวิกฤติเศรษฐกิจ, เมื่อปี’48 ครั้งพันธมิตรฯ และเมื่อปี 2557 กปปส.เป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนในเมือง มีเพียงการเคลื่อนไหวของปี 2553 ม็อบเผาเมือง เพียงครั้งเดียว ที่เป็นการเริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนต่างจังหวัด ที่เข้ามาประท้วงในเมือง นั่นอาจมีคนมองว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเมืองส่งผลต่อการล้มรัฐบาลได้อย่างมีน้ำหนักมากกว่า, การเคลื่อนไหวปี 2540 และ 2548 เริ่มต้นจากบุคคลที่อยู่นอกวงการการเมือง โดยปี 2540 ม็อบสีลมเป็นการเริ่มต้นของกลุ่มคนชนชั้นกลาง ซึ่งสุดท้ายก็สำเร็จด้วยการทำให้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ยอมลาออก ขณะที่การเคลื่อนไหวปี 2548 เริ่มต้นจากการปลุกกระแสของแกนนำที่เป็นสื่อมวลชน แล้วสำเร็จเมื่อต้นปี 2549 แม้ท้ายที่สุดอาจมีการสนับสนุนของกลุ่มการเมือง? แต่การเคลื่อนไหวทั้งสี่ครั้งก็ได้สร้างชัยชนะ หรืออย่างน้อยสร้างความเปลี่ยนแปลงหรือวิกฤติบางอย่างต่อรัฐบาลขณะนั้น
หากจะมีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล คสช.ในรอบนี้ดูเหมือนมีอะไรที่แตกต่างออกไป ทั้งในเรื่องรัฐบาลไม่ใช่พรรคการเมือง และไม่ได้มีฐานกลุ่มการเมืองสนับสนุน เหตุผลการล้มรัฐบาลจึงไม่ใช่เพื่อการล้มพรรคหนึ่ง เพื่อให้อีกพรรคหนึ่งได้ในขณะที่สี่ครั้งก่อนหน้า ความขัดแย้งและการต่อสู้เกิดจากทั้งสองฝ่ายมีพรรคการเมืองสนับสนุน แต่รอบนี้ดูเหมือนรัฐบาลคสช.จะผลักทุกพรรคให้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอง
ประเด็นต่อมา จากกระแสความต้องการเปลี่ยนแปลงที่มีมาแล้วทั่วโลกช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่ต้องการผู้นำรุ่นใหม่และต้องการความเปลี่ยนแปลง ในไทยก็ไม่ต่างกัน ประชาชนบางส่วนยังคงเบื่อนักการเมือง ขณะที่กระแสทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าหลายคนก็รู้สึกกับรัฐบาลคสช.ไม่ต่างกัน การปรากฏภาพแกนนำผู้ชุมนุมที่เป็นคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใดหรือไม่? แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าอาจนำมาซึ่งความน่าสนใจไม่น้อย ปัจจัยต่อมาคือพื้นฐานปัญหาประเทศที่ไม่สามารถจัดการได้ตลอด 3 ปีนี้ นั่นคือปัญหาเศรษฐกิจที่มีแต่ทรงกับทรุดไปทุกวัน ตลอด 3 ปี ถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียงการบริหารเศรษฐกิจแบบหาเช้ากินค่ำ ไม่มีการสร้างกลไกวางรากฐานเศรษฐกิจ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานปัญหาการเกษตร โครงสร้างราคาสินค้าเกษตร ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่นอกจากไม่สร้างความหวังให้คนในประเทศแล้ว ยังทำให้มองไม่เห็นช่องปัจจัยในการลงทุนของนักลงทุนต่อไปด้วยโครงการ EEC ที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายก็ถูกตั้ง
ข้อสงสัย ต่อการลดแลกแจกแถมเป็นพิเศษ แล้วมีเป้าหมายเปิดประตูให้กับเพียงบางบริษัทหรือไม่?
แต่ที่ทำให้ความหวังหมดไป แล้วมองภาพไม่ต่างกันทางการเมือง ก็คือการเปิดปมในช่วงปีหลังๆ โดยเฉพาะความชัดเจนต่อการจัดการปัญหาคอร์รัปชั่น ที่แม้ตอนนี้ยังไม่สามารถตัดสินว่าใครผิดถูกได้ แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการคือความไม่คลุมเครือในกระบวนการตรวจสอบและการตอบคำถาม แม้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเทียบไม่ได้กับความเสียหายที่เกิดขึ้นในรัฐบาลก่อนๆ แต่ไม่อาจปฏิเสธความคาดหวังของประชาชนต่อรัฐบาลนี้มากกว่าคนอื่น โดยเฉพาะเรื่องความตรงไปตรงมา ที่ไม่ใช่การเลี่ยงบาลี ตอบเล่นโวหารเหมือนทุกวันนี้ แล้วยังเชื่อมโยงไปถึงประเด็นข้อสงสัยต่อการสืบทอดอำนาจของเหล่าบริวารนายกฯ ที่จะเป็นตัวจุดชนวนความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อรัฐบาลอีกต่อไป
ถึงวันนี้ประชาชนไม่ได้มองถึงนักการเมืองคนใดหรือพรรคใด? แต่มองไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาจริงๆ ปรากฏการต่อต้านรัฐบาลที่มีแกนนำจากนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศมีทำไม่สำเร็จและหลายครั้งที่สำเร็จ จึงอย่าตัดมิตรทำลายเพื่อน อย่างน้อยกลุ่มการเมืองที่ไม่ได้คิดเห็นตรงกันรัฐบาลก็อย่าจับไปรวมกับกลุ่มที่เป็นศัตรู แต่ควรคำนึงถึงผลกระทบด้านความรู้สึกของประชาชน รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและผ่อนปรนกฎกติกา เพื่อลดแรงเสียดทานที่จะเกิดกับรัฐบาลเอง มิเช่นนั้นจะเป็นการเร่งเร้าให้เกิดความขัดแย้ง
ขณะที่อย่าได้ตัดรอนแกนนำหรือเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง เพราะอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงประเทศจริงๆ ก็ได้ แนวโน้มโลกตอนนี้จากปัญหาความเหลื่อมล้ำที่บ่มเพาะมาเนิ่นนาน ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการความคิดใหม่ที่แตกต่างจากกรอบเดิมๆ อย่าปล่อยโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามใช้สิ่งเหล่านี้ ดึงแนวร่วมสร้างพันธมิตรให้ตัวเองหวังล้มรัฐบาล คืนความชอบธรรมให้ตัวเองและกลับมาแก้ไขผลของคดีต่างๆที่ได้ก่อไว้ การรัฐประหารเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็จะเสียเปล่า และหลังจากนี้ก็ยากที่ประชาชนจะยอมรับและเปิดโอกาสให้เกิดสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก....
...............................
“...คนผู้หนึ่งเป็นชายชาติชาตรีหรือไม่ มิอาจวัดคำนวณจากรูปโฉมเปลือกนอก...”คำคมโกวเล้งจากเรื่อง วีรบุรุษสำราญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี