จากเรื่องเสือดำที่โด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศจนก่อเกิดเป็นกระแสใหญ่ในการพิทักษ์ป่าและสัตว์ป่า ตลอดจนการเรียกร้องให้เอาตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ แต่จู่ๆ เรื่องก็ลามไปถึงโครงการก่อสร้างของรัฐและโครงการสำคัญใน EEC ด้วย
มีการนำข้อมูลมาเปิดเผยว่า ในช่วงระยะเวลาเพียง 3 ปีที่ผ่านมา มีการได้งานรับเหมาในกิจการโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะถนน มอเตอร์เวย์ และรถไฟ เป็นมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาท แล้วเกิดความสงสัยขึ้นว่า จะมีเงินทอนบ้างหรือไม่ ในอัตราร้อยละเท่าใด เพราะถ้าแค่ร้อยละ 5 ก็จะเป็นเงินทอนถึง 15,000 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่า เงินจำนวนนี้ย่อมก่อให้เกิดพลังอำนาจแก่ผู้เกี่ยวข้องได้จำนวนมาก
นอกจากนั้นในข่าวเดียวกันก็ได้ระบุถึงการได้โครงการทำรถไฟเชื่อมสามท่าเรือตะวันออก ซึ่งเป็นโครงการในพื้นที่ EEC ทั้งๆ ที่ร่างกฎหมาย EEC พึ่งผ่านสนช.วาระที่สามเมื่อต้นสัปดาห์นี้ แล้วจะแบ่งกันก่อนได้อย่างไร ที่สำคัญคือทำไม? โครงการนี้จึงไปอยู่ในบัญชีงานที่ได้จากรัฐ จึงทำให้เกิดการสงสัยกันอย่างกว้างขวาง
ไม่ทันที่ร่างกฎหมาย EEC จะประกาศใช้เพราะยังต้องผ่านกระบวนการนำความขึ้นกราบบังคมทูล ซึ่งต้องมีการตรวจสอบกระบวนการตรากฎหมายว่า มีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมทั้งประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติและประชาชนเป็นส่วนรวม ซึ่งเป็นพระราชอำนาจที่จะต้องโปรดเกล้าฯหรือไม่ก็ได้ แต่กลับมีการตีฆ้องร้องป่าวว่าประเทศไทยจำเป็นต้องทำ EEC และถ้าไม่ทำโครงการนี้ก็ไม่ได้แล้ว
ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดเนื่องจากช่วงเวลาของรัฐบาลนี้ หากจะมีการเลือกตั้งก็มีเวลาเพียงปีเดียว หากทำโครงการปกติก็แค่การจัดทำโครงการในรายละเอียดเท่านั้น
ไม่เห็นจะเป็นเรื่องเร่งร้อนเป็นตายแต่ประการใด
ที่สำคัญ EEC นี้เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีความคิดที่จะทำมาก่อน อย่างน้อยก็เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และไม่ใช่เป็นนโยบายหลักของ คสช. และรัฐบาลที่ได้ประกาศไว้สามประการ คือ เข้ามาทำหน้าที่เพื่อการปรองดอง ยุติความขัดแย้ง, เพื่อการปฏิรูป และเพื่อทำประเทศชาติให้มั่นคง ไม่เคยมีแนวทางนโยบายที่จะทำ EEC มาก่อนเลย
และที่สำคัญการทำโครงการ EEC นั้น เป็นการทำในพื้นที่ภายในประเทศ ไม่ใช่พื้นที่ชายแดนติดกับเพื่อนบ้าน ไม่มีมีฐานะเป็นระเบียงเศรษฐกิจ และในระยะก่อนปี 2564 เป็นอย่างน้อย ก็ไม่มีทางที่จะเชื่อมต่อประเทศใดๆ ได้ แต่กลับเป็นโครงการที่มีการระบุว่า จะต้องกู้ยืมเงินมาลงทุนถึง 1.8 ล้านล้านบาท และในสิทธิต่างชาติที่มาลงทุนเป็นอเนกประการ เช่น การได้รับยกเว้นภาษี การได้เช่าที่ดินถึง 99 ปี แบบที่ประเทศอาณานิคมเคยถูกนักล่าอาณานิคมใช้เรือปืนบังคับ การได้สิทธิ์เข้าเมืองหรือวีซ่าครั้งละ 5 ปี ซึ่งดูไปแล้วก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไร
สิทธิประโยชน์ขนาดนี้ อย่าว่าแต่คนไทยงุนงงสงสัยว่าเป็นไปได้หรือ เพราะกระทบต่อผู้ลงทุนในพื้นที่อื่นอย่างรุนแรง แม้ต่างชาติก็พากันสงสัยว่า จะเป็นความจริงไปได้หรือ
นอกจากนั้น เมื่อราว 3-4 เดือนที่ผ่านมา ก็มีข่าวพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นเป็นใจความว่า ในการจัดทำโครงการ EEC นั้นไฟฟ้าและน้ำในประเทศไม่พอใช้จะต้องซื้อไฟฟ้าและน้ำจากประเทศกัมพูชา
สำหรับไฟฟ้านั้นจะต้องจัดซื้อราคายูนิตละ 10.25 บาทโดยจัดซื้อจากโรงงานผลิตเล็กๆ ขนาด 20 กว่าเมกะวัตต์ ถึง3 โรงงาน และต้องเสียค่าเดินสายส่งไปยังโรงงานดังกล่าวถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่พอแก่ความต้องการ จะต้องซื้อจากอีกแหล่งหนึ่งใกล้เมืองสีหนุวิลล์ในราคาเดียวกัน และต้องเสียค่าเดินสายส่งอีก 1 แสนล้านบาท
แต่ปรากฏว่าไม่ทันที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาเรื่องดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้มีการทบทวนเรื่องนี้ และมีข่าวปรากฏต่อสื่อมวลชนว่าราคาที่ระบุนั้นเป็นราคาโคตรแพงเพราะสามารถซื้อจากประเทศลาวได้ยูนิตละ 2.60 บาท เท่านั้นทั้งไม่ต้องเสียค่าเดินสายส่งถึง 2 แสนล้านบาทด้วย
คนทั้งหลายได้ทราบข่าวนี้แล้ว ต่างพากันไชโยโห่ฮิ้วที่นายกรัฐมนตรีสามารถรักษาผลประโยชน์แห่งชาติได้ทันท่วงที
และจากวันนั้นถึงวันนี้ ทั้งเรื่องไฟฟ้าและเรื่องน้ำที่จะต้องใช้ในพื้นที่ EEC ก็เงียบหายไป แต่เป็นการเงียบหายในลักษณะพิลึกพิลั่น เพราะถ้าจะทำโครงการนี้กันจริงๆ ก็จำเป็นที่จะต้องมีไฟฟ้าและน้ำที่เพียงพอต่อการใช้สอย มิฉะนั้นการลงทุนทั้งปวงก็จะพากันวินาศวายวอดสิ้น
ลองนึกดูกันเองก็ได้ ถ้าลงทุนทำโครงการกันไปแล้ว แต่น้ำไม่มีไฟไม่พอแล้วจะเกิดอะไรขึ้น และเรื่องนี้ถ้าไม่มีความชัดเจน ใครไหนเล่าจะกล้าไปลงทุน
ถึงวันนี้ก็ไม่มีข่าวปรากฏให้เชื่อถือได้ว่าได้มีการแก้ไขปัญหาน้ำไม่พอ ไฟฟ้าไม่พอในโครงการของ EEC อย่างไร
จะมีการแอบตกลงทำสัญญาโดยไม่ฟังสิ่งที่นายกรัฐมนตรีสั่งทบทวนหรืออย่างไร
หรือมีการมุบมิบต่อรองราคากันเพียงเล็กๆ น้อยๆ แบบขอไปที แล้วทำสัญญากันอย่างเงียบๆ
หรือซุกปัญหาไว้เพราะอาจจะคิดว่าเวลาของรัฐบาลนี้อย่างไรก็ไม่พอที่จะทำโครงการนี้อยู่แล้ว ซุกเรื่องเอาไว้ก่อน ให้รัฐบาลใหม่ไปแก้เอาดาบหน้า แล้วเร่งทำเรื่องที่ด่วนกว่า คือการยกสนามบินอู่ตะเภา ที่ดินรถไฟมักกะสัน รถไฟเชื่อมสามท่าเรือ รถไฟเชื่อมสามสนามบิน ให้เจ้าสัวทั้งหลายไปก่อน
แต่ไม่ว่าหวยจะออกประตูไหนใน 3 ประการนี้ ปัญหาก็ยังคงไม่จบ และคนไทยทั้งประเทศก็คงไม่ยอมเป็นแน่แท้ ไม่เชื่อก็คอยดูกันต่อไป!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี