พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ท่านชอบแต่งกลอน ผิดสัมผัสบ้าง ถูกสัมผัสบ้างก็ว่ากันไป ท่านเป็นทหาร ไม่ใช่กวี
แนวคิดของท่านครั้งหนึ่ง นำไปสู่การแต่งเพลงที่คนจำเนื้อร้องบางท่อนได้ฝังใจและจับใจคือ
“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา เราจะทำอย่างซื่อตรง ขอแค่เธอ จงไว้ใจและศรัทธา แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ขอคืนความสุขให้เธอ ประชาชน”
บทเพลงนี้มี “คำสำคัญ” อยู่หลายท่อน ที่สำคัญมากๆ คือ เราจะทำตามสัญญา / ขอเวลาอีกไม่นาน / เราจะทำอย่างซื่อตรง / แผ่นดินจะดีในไม่ช้า
พูดกันอย่างยุติธรรม 3 ปี จนเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว เห็นได้ว่า แผ่นดินก็ดีกว่าก่อนหน้านั้นมาโดยลำดับ เริ่มจากสถานการณ์ความขัดแย้งสงบลง (ไม่ได้จบไป แต่ยุติลง เพราะถูกจำกัด ควบคุม) นำมาสู่การจัดระเบียบต่างๆ เช่น ทางเท้า ชายหาด วินรถตู้ วินมอเตอร์ไซค์ ทวงคืนผืนป่า ชายหาด ฯลฯ ซึ่งอาจจะถูกมองเป็นงานหยุมหยิม แต่รัฐบาลปกติ ก็ทำไม่ได้อย่างนั้น หรือไม่ใส่ใจที่จะทำเรื่องเหล่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน ที่กระทบกับประชาชนโดยตรง
ความสงบ นำมาสู่ความพอใจในช่วงต้นของ คสช. และรัฐบาลลุงตู่ ในยามนั้น ใครออกมาป่วน ออกมาวิจารณ์ ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ก็จะถูก “ตีโต้” กลับไป โดยประชาชนผู้ “รักลุงตู่” อย่างหนักหน่วง จนนำมาซึ่ง “ความสงบ” ในอีกรูปแบบหนึ่ง คือ สงบปากสงบคำ แต่อาจไม่สงบใจ (ฮา...)
ในเวลาต่อมา เป็น พล.อ.ประยุทธ์และคณะเอง ที่“ส่งสัญญาณ” ว่า บ้านเมืองพร้อมแล้วที่จะ “เดินหน้าต่อ” จึงเริ่มต้นกระบวนการ “ร่างรัฐธรรมนูญ” จากนั้นเมื่อมีคนเสนอว่า ควรนำไปทำ “ประชามติ” ท่านก็เห็นชอบด้วย กระบวนการทำประชามติก็เริ่มขึ้น จนกระทั่งรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ ผ่านกระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ และมีผลบังคับใช้
ในช่วงเวลานั้น ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่า “บ้านเมืองยังไม่พร้อมที่จะเลือกตั้ง สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย” แถมรับประกันเป็นมั่นเป็นเหมาะจากทั้งกรรมการร่างและฝ่ายรณรงค์ให้ “รับรัฐธรรมนูญ” ว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ดี เป็นฉบับ “ปราบโกง” บ้านเมืองของเราจะดีแน่ หลังมีรัฐธรรมนูญฉบับนี้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ออกโรง เฟซบุ๊คไลฟ์ บอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีมาก เห็นด้วย เห็นชอบ การปฏิรูปต่างๆ ก็อยู่ในรัฐธรรมนูญนี้แล้ว
ผลจากการผ่านรัฐธรรมนูญนั้น ทำให้ “โรดแมป” ของประเทศไทยเดินหน้าตาม “ขั้นตอน” และ “กติกา” ของรัฐธรรมนูญ เรียกว่า ถึงเวลาที่เราทุกคนมอบอำนาจให้ “รัฐธรรมนูญเป็นใหญ่” เป็นหลัก เป็นตัวกำหนด
พันธกิจต่อจากรัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญ คือ การร่างกฎหมายลูก หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ” ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดจำนวนวันไว้ชัดเจน ว่าต้องทำให้แล้วเสร็จภายในกี่วัน ทั้งกำหนดด้วยว่า ให้กฎหมายสี่ฉบับ เป็นตัวนำไปสู่การเลือกตั้งก่อน คือ กฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง กกต. สส. และสว.
สองฉบับแรกเสร็จแล้ว สองฉบับหลังอยู่ในกระบวนการ ซึ่งควรเดินหน้าไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหา เคารพกติกา “เราจะทำตามสัญญา” ใช่หรือไม่
แต่—เดี๋ยวก่อน!!
ปรากฏว่า กฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมืองกลับไม่อาจ “ใช้ได้จริง” เพราะหัวหน้า คสช. ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอม “ผ่อนปรน” คำสั่ง คสช. (ซึ่งมีสภาพเป็นกฎหมาย) ให้พรรคการเมืองดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้ “ความขัดแย้ง” เริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง!! โดยใครล่ะ?
ข้ออ้างของการไม่ยอมให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ “บังคับใช้” คือ “สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่เรียบร้อย” เอ๊ะ!! ทำไมก่อนหน้านี้เรียบร้อย พอจะเริ่มต้นเดินหน้าตามโรดแมปไปสู่การเลือกตั้งเท่านั้นแหละ เกิดไม่เรียบร้อยขึ้นมาอีก
แถมมีการออกคำสั่ง คสช. (โดย ม.44) ให้การบังคับใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญนี้ มาเริ่มเอาเดือนมีนาคม-เมษายน ปี 2561 นี้ พ่วงไปด้วยข้อความที่ “สร้างปัญหา” นำมาซึ่งความติดใจสงสัยว่า คสช. เล่นตุกติก สร้างภาระให้แก่ประชาชน เอาอำนาจตาม ม.44 มาใหญ่กว่า พ.ร.ป. ได้อย่างไร แถมเงื่อนไขที่เติมลงไปในคำสั่ง คสช. ส่อไปในทางสร้างความไม่เท่าเทียม-ไม่เป็นธรรม ระหว่างพรรคเก่ากับพรรคใหม่ด้วย จนนำไปสู่การยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญ (นานพอสมควรแล้ว ยังไม่เห็นความคืบหน้า)
ระหว่างที่เขายื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ บ้างก็ยื่นไปที่ศาลด้วยนั้น สนช. ซึ่งเป็นหนึ่งใน “แม่น้ำสำคัญ” ของ คสช. ก็ฉวยใช้เงื่อนไขจากการที่ หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ว่า นำมาสู่การ “เพิ่มวันบังคับใช้กฎหมาย” ออกไปอีก 90 วัน ในกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. เสียเอง (เป็นไงล่ะ เขี่ยบอลกันมา รับลูกกันไป น่ารักน่าชังอะไรเช่นนี้)
แถมเวลานี้ ก็ส่ออาการว่า กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง คือ ว่าด้วย สส. กับ สว. อาจจะ “ตก” โดย สนช. ก็เป็นได้ เพราะในชั้นของ สนช. มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความผิดแผกไปจากร่างที่กรรมการร่างส่งมา (ซึ่ง สนช. มีอำนาจโดยชอบที่จะทำได้ครับ เพราะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ กรรมการร่างเป็นเพียงแต่ผู้ร่าง สนช. ไม่จำเป็นต้องเห็นตามร่างนั้นทั้งหมดก็ได้ ไม่เช่นนั้นจะมี สนช. ไปทำไม ใช่ไหมครับ)
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การ “คาดการณ์” ในด้านที่ “เลวร้ายที่สุด” เท่านั้นนะครับ เพราะขณะนี้อยู่ในชั้นของการตั้งกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย คือ สนช. กรธ. และ กกต. ภายหลังจาก กรธ. กับ กกต. มีข้อทักท้วง กล่าวคือ
พ.ร.ป. สส.นั้น ฝ่าย กรธ.เห็นแย้ง 4 เรื่อง คือ 1.ตัดสิทธิผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ห้ามเป็นข้าราชการรัฐสภา 2.การให้จัดมหรสพในการหาเสียง ทำให้เกิดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง 3.เวลาลงคะแนน 07.00-17.00 น. จะเป็นปัญหากับผู้ปฏิบัติงาน และ 4.การลงคะแนนแทนผู้พิการทางสายตา ส่วน กกต.เห็นแย้ง 5 ประเด็น คือ 1.เรื่องที่ให้ผู้สมัครพรรคการเมืองมีหมายเลขแตกต่างกันไปตามเขตเลือกตั้ง 2.ประเด็นมหรสพที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ขัดรัฐธรรมนูญ 3.กำหนดค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองเท่ากัน 1.5 ล้านบาท ต่อผู้สมัคร 1 คน ไม่เที่ยงธรรมระหว่างพรรคเล็กพรรคใหญ่เมื่อถูกนำไปปฏิบัติ 4.ขอบเขตอำนาจศาลให้ใบเหลืองหลังประกาศผลเลือกตั้ง
ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ
และ 5.ภายหลังประกาศผลเลือกตั้ง ในรัฐธรรมนูญกำหนดศาลให้ได้ทั้งใบดำและใบแดง แต่ในกฎหมายเลือกตั้ง สส.เขียนให้อำนาจศาลให้ใบดำเพียงอย่างเดียว จึงถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ร่าง พ.ร.ป. สว. ทาง กรธ.เห็นแย้ง 3 เรื่อง คือ 1.การลดกลุ่มอาชีพ เหลือ 15 กลุ่ม 2.การแยกประเภทระหว่างผู้สมัครอิสระ กับการเสนอชื่อผ่านองค์กรนิติบุคคล 3.วิธีการเลือกจากเลือกไขว้ เป็นเลือกในกลุ่มเดียวกัน ส่วนคำเห็นแย้ง กกต. มีเพียงประเด็นเดียว คือ กรณีให้อำนาจศาลให้ใบดำเพียงอย่างเดียวขัดกับรัฐธรรมนูญ
หลังจากนี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย สนช. กกต.และกรธ. จำนวน 11 คน ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 267 เพื่อปรับแก้แล้วเสนอต่อ สนช.ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่แต่งตั้ง (ซึ่งแต่งตั้งแล้ว) เพื่อให้ สนช.โหวต
ถ้า สนช.มีมติ “ไม่เห็นชอบ” ด้วยคะแนนเสียงเกิน 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ สนช.คือ 167 เสียง ให้ร่าง พ.ร.ป. เป็นอัน “ตกไป” หาก สนช.มีเสียงโหวตไม่ถึง 2 ใน 3 หรือ 167 เสียง ถือว่า สนช.เห็นชอบ
ทีนี้ หาก สนช. เห็นชอบ เรื่องก็จะถูกส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป
หาก สนช. ไม่เห็นชอบ กฎหมายตก อันนี้แหละครับ ที่จะเป็นปัญหาชัดๆ คือ รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ว่า ต้องร่างใหม่ภายในกี่วัน กี่เดือน กี่ปี เช่นกันกับเรื่องที่มีการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้เขียนไว้เช่นกันว่า ศาลต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในกี่วัน กี่เดือน กี่ปี
ช่องโหว่ตรงนี้แหละครับ คือ ความท้าทายว่า คสช. จะ “ส่งสัญญาณ” อย่างไรหรือไม่
แน่นอน คสช. ย่อมปฏิเสธว่า “ไม่เกี่ยวกับ คสช. เป็นการพิจารณาของ สนช.” แต่จะมีสักกี่คนที่เชื่อว่า สนช. พิจารณาทั้งหมดด้วยตัวเอง ไม่รับสัญญาณใดๆ หรือแม้หากทำด้วยตัวเอง
จริงๆ ก็ทำอย่าง “หวังผล” อะไรบางอย่าง ที่เป็นคุณกับการ “อยู่ต่อ” ทั้ง คสช. และ สนช. เองด้วย ใช่หรือไม่ ตรงนี้เป็นเรื่องของ “ความไว้ใจ-ไม่ไว้ใจ” หรือ “เชื่อใจ-ไม่เชื่อใจ” ล้วนๆ
เพียงแต่บทเรียนจาก คำสั่ง คสช. ที่ชะลอการบังคับใช้ พ.ร.ป.พรรคการเมืองออกไป แล้ว สนช. รับลูก ปรับเวลาเพิ่มในพ.ร.ป. สส. อีก 90 วัน นั่นเอง ที่ทำให้ “ขอแค่เธอจงไว้ใจและศรัทธา” พินาศลง!!
ประเด็นของผม ไม่ได้อยู่ที่ความกระสันอยากจะเลือกตั้ง แต่มันเป็นเรื่องของ “เราจะทำอย่างซื่อตรง ขอแค่เธอจงไว้ใจและศรัทธา”
พอมันส่อว่า “ไม่ซื่อตรง” มันก็กระทบไปถึง ความไว้ใจและศรัทธา
1) ข้ออ้างว่าบ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย แปลว่า 3 ปีที่ผ่านมา ท่านแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ใช่ไหมครับ ล้มเหลว หรือเลี้ยงปัญหานี้ไว้เป็นข้ออ้างเลื่อนโรดแมปไปเรื่อยๆ ล่ะครับ?
2) บ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย แล้วตอนนั้นร่างรัฐธรรมนูญกันทำไมล่ะครับ พอรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ ก็ไปฝืนไม่ให้มันบังคับได้ ทำทำไมกันครับ?
3) การเลือกตั้ง มันมาตามลำดับของการมีรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญกำหนด ไม่ใช่มาตามความอยาก ความไม่อยาก ไม่ว่าจะของผมหรือของใครทั้งนั้น แต่มันเป็น “กติกา” ที่กำหนดให้ทุกคนเดิน เราไม่เอากติกานั้นเป็นทางเดินของชาติบ้านเมืองกันหรือครับ?
4) เลือกตั้งแล้ว บ้านเมืองจะดีกว่าเดิมหรือเปล่า ไม่รู้หรอก มันอยู่ที่การเลือกของประชาชน และตัวระบบที่ช่วยคัดกรอง แต่ถ้าคุณเคยรับประกันมั่นเหมาะ ว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นฉบับปราบโกง ดีเลิศ ใส่การปฏิรูปไว้แล้ว แถมกำหนดเรื่องคณะกรรมการติดตามควบคุมการปฏิรูปประเทศ ให้ยังเดินหน้าต่อแม้มีรัฐบาลใหม่ ห้ามบิดพลิ้ว มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะคอยตรวจการบ้าน ว่ารัฐบาลหลังจากนี้ทำตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ไหม มี สว. ที่ไม่ว่า กรรมวิธีก่อนหน้านั้นจะมากันอย่างไร แต่สุดท้าย คสช. เป็นคน “เลือก” อีกทีหนึ่ง องค์ประกอบพวกนี้ ยังไม่พอที่เราจะเดินหน้าบ้านเมืองของเราไปตามกติกาอีกหรือครับ ท่าน คสช. ครับ
5) ในแง่ความสงบสุข ก็อย่าเอาเรื่องความปั่นป่วนวุ่นวายแบบเก่ามาหลอกหลอนกันอีกเลยครับ เพราะบัดนี้ มี พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ ซึ่งเข้มงวดมาก แกนนำจำนวนหนึ่งก็มี “คดี” คล้องคออยู่ บ้างก็เข้าคุกเข้าตะรางไปแล้ว ประชาชนก็เรียนรู้มากขึ้น เหลือแต่รัฐให้ข้อเท็จจริงแก่เขามากน้อยแค่ไหน พอที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของการปลุกปั่นปลุกระดมอีกหรือไม่เท่านั้นเอง และขุนทหารทั้งหลาย ฝ่ายความมั่นคง ก็ยังอยู่ ยังช่วยให้ความสงบสุขมีขึ้นได้มิใช่หรือครับ หรือหากมีรัฐบาลใหม่ ท่านจะไม่ช่วยบ้านช่วยเมืองกันแล้ว?
6) จะติดจะขัดก็แค่นิดเดียว คือ “ตำรวจ” ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ให้ความร่วมมือกับบางรัฐบาล และ “เข้าร่วม” ทั้งโดยตรงและอ้อมกับบางกลุ่มบางพวก บัดนี้ ท่านได้ปฏิรูป ให้ตำรวจดีๆ ได้มีบทบาทสำคัญ ได้สวัสดิการ ได้ความคุ้มครองและส่งเสริมบ้างหรือยังครับ มีมาตรการลงโทษและกำจัดตำรวจชั่ว
รัดกุมแค่ไหนครับ
7) ส่วน “ผีทักษิณ” ไม่ต้องเอามาหลอกหลอนหรอกครับ กฎหมายพรรคการเมืองและอื่นๆ เคร่งครัดต่อการให้คนแบบเขา “บงการพรรคการเมือง” ได้มากน้อยแค่ไหนล่ะครับ การตรวจจับเอาผิด จะรอบคอบรัดกุมและเข้มแข็งขึ้นไหมล่ะครับ ส่วนหากประชาชนยังอยากเลือกพลพรรคของเขา เรามีสิทธิไปห้ามหรือครับ ในเมื่อสิทธิเป็นของเขาคนละ 1 คะแนนที่จะเลือกใครก็ได้ สิ่งเดียวที่เราทำได้ คือสำแดงความจริง ความเสียหายที่ทักษิณและพวกทำไว้กับชาติบ้านเมือง และตัวท่านกับพวกท่านที่บัดนี้ยังอยู่ในอำนาจ ทำให้ดีกว่าเขาก็เป็นพอ จริงไหมครับ
ส่วน “ลุงตู่” จะกลับเข้าสู่วงการเมืองอีกหรือไม่ ให้เป็นเรื่องของ “อนาคต” ครับ และขอให้มาตาม “กติกาโดยชอบ” ไม่ใช้ช่องทางพิเศษใดๆ เป็นใช้ได้ ธำรงไว้ซึ่งคำว่า “เราจะทำอย่างซื่อตรง” เป็นพอ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี