พระพุทธศาสนาสอนอะไร เพื่ออะไร หรือพระพุทธเจ้าสอนอะไร และเพื่ออะไร เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนาอยู่เสมอยิ่งในระยะหลังๆ นี้ คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นถี่ยิบ เพราะเป็นสิ่งสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา
เหตุที่มีคำถามเหล่านี้เกิดขึ้นก็เพราะว่าพฤติกรรมของคนไทยในปัจจุบันนี้ แปลกแปร่ง จากความคุ้นเคยในเรื่องพระพุทธศาสนามาแต่ก่อน เพราะหันไปทำการก่อสร้างบวงสรวงวัตถุบูชาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าในทุกศาสนา หรือกระทั่งสิงสาราสัตว์นานาชนิด แม้กระทั่งตัวประหลาดพิกลพิการทั้งหลายทั้งในวรรณคดีไทยและในวรรณคดีต่างประเทศ
รวมทั้งพิธีไสยศาสตร์อาถรรพ์ทุกชนิด กระทั่งการบ้าบุญบ้าสวรรค์ ซึ่งเลยเถิดไปถึงขั้นซื้อบุญ ซื้อสวรรค์ เก็งกำไรบุญ จัดสรรสวรรค์ แบ่งปันขาย ซึ่งล้วนเป็นเรื่องนอกพระพุทธศาสนาซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงติเตียน กระทั่งทรงประณามว่าเป็นเดรัจฉานวิชาบ้าง เป็นเดรัจฉานกถาบ้าง
การประพฤติปฏิบัติในเรื่องเหล่านี้เป็นการล่วงละเมิดศีล คือ จุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล ซึ่งเป็นบาทฐานของสมาธิและปัญญาโดยตรง
พระบรมศาสดาตรัสย้ำหลายที่หลายครั้งว่า ความตรัสรู้ของพระองค์ท่านนั้นมีลักษณะแจ้งโลก แต่ที่ทรงนำมาตรัสสอนนั้นมีเพียงสองเรื่องคือเรื่องทุกข์ และความดับทุกข์
ดังนั้นสำหรับชาวพุทธ ขอเพียงทำความศึกษา ทำการอบรม ปฏิบัติตนและตั้งใจรับผลของการปฏิบัติในสองเรื่องนี้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธแท้ และย่อมได้รับผลจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้อย่างสมบูรณ์
โดยสรุปก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องทุกข์ และการฝึกฝนอบรมปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์สิ้นเชิง เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องอุปกรณ์ เป็นเรื่องอดิเรก ที่จะศึกษาก็ได้ ไม่ศึกษาก็ได้ และเมื่อได้ศึกษาปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ก็จะก้าวข้ามความติดยึดในสิ่งที่เรียกว่า พระวินัย พระสูตรหรือพระอภิธรรม โดยไม่ต้องเสียเวลามาโต้เถียงกันว่าจะยึดถืออย่างไหนเป็นสรณะอีกต่อไป
เมื่อครั้งทรงแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้น ตรัสย้ำในตอนท้ายว่าตราบใดที่เราไม่รู้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งในอริยสัจ 4 ที่มีรอบสาม อาการสิบสอง บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ตราบนั้น เราไม่ปฏิญาณตนเองว่าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
นั่นคือความรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งในรอบสามของอริยสัจ 4 คือ ทุกข์เป็นอย่างไร ทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ และทรงกำหนดรู้ซึ่งทุกข์แล้ว
คือความรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่าเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างไร เหตุแห่งทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ต้องละให้สิ้นเชิง และทรงละเหตุแห่งทุกข์นั้นสิ้นเชิงแล้ว
คือความรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ความดับทุกข์เป็นอย่างไร ความดับทุกข์นั้นต้องดับให้สิ้นเชิง และทรงดับทุกข์สิ้นเชิงแล้ว
คือความรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า มรรคหรือหนทางแห่งความดับทุกข์เป็นอย่างไร มรรคนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเจริญให้ถึงที่สุด และทรงเจริญมรรคนั้นจนถึงที่สุดแล้ว
ทั้งหมดนี้คือ อาการสิบสองและรอบสาม ของอริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในกัปปวัตนสูตร โดยรอบแรกก็คือสิ่งที่เรียกว่าปริยัติ รอบที่สองคือสิ่งที่เรียกว่าปฏิบัติ และรอบที่สามคือสิ่งที่เรียกว่าปฏิเวธ คือการได้รับซึ่งผลของปริยัติและปฏิบัติอันเป็นองค์สามแห่งการศึกษาของพระพุทธศาสนา
ทุกข์เป็นอย่างไรนั้น ในทางปริยัติทุกคนย่อมรู้จักกันดี เช่นเดียวกับที่เราอ่านหนังสือว่าความร้อนคืออะไร ก็รู้จักทุกข์คืออะไรเช่นเดียวกันนั้น แต่นั่นไม่ใช่ความรู้จากการปฏิบัติ ซึ่งจะเป็น
ความรู้จริงด้วยตนเองตามที่เป็นความจริงก็ต่อเมื่อได้สัมผัสจริงกับไฟก็จะรู้จากการปฏิบัตินั้นเองว่าความร้อนจริงๆ คืออะไร และย่อมได้รับผลจากความรู้จริงนั้นอย่างแท้จริง
ในเรื่องของความดับทุกข์คือมรรคอันมีองค์แปด จะไปเพิ่มเติมให้หรูหราว่าเป็นอริยมรรค หรือสัมมามรรค เนื้อแท้ก็คือมรรคหรือวิธีการดับทุกข์ อันเป็นหนึ่งในอริยสัจ 4 ที่ทรงแสดงนั้นเอง อย่าไปเสียเวลากับเครื่องแต่งองค์ทรงเครื่องกันนักเลย
องค์ทั้งแปดแห่งมรรครวมกันนั่นแหละจึงเรียกว่ามรรคที่ทรงแสดงไว้ในอริยสัจ 4 เป็นคนละเรื่องคนละส่วนกับผล มรรคเป็นเครื่องมือของการดับทุกข์ ผลก็คือการดับทุกข์สิ้นเชิง
ทุกข์เกิดที่ไหนเล่า? ก็เกิดจากเหตุแห่งทุกข์คือตัณหา คือความอยากได้ อยากมี อยากเป็น รวมตลอดไปถึงความไม่อยากได้ ความไม่อยากมี ความไม่อยากเป็น ซึ่งอาการเหล่านี้แสดงออกให้เห็นง่ายๆ โดยการกระทำต่อภายนอก แต่รากเหง้าหรือเหตุที่แท้จริงอยู่ภายใน คือความยึดมั่นถือมั่น
การละเหตุแห่งทุกข์ให้สิ้นเชิงในอริยสัจ 4 ที่ทรงแสดง จึงต้องระงับหรือละเหตุแห่งทุกข์ให้สิ้นเชิง ก็คือการละความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
ดังนั้นในยามที่บรรลุผลของการศึกษาในการปฏิบัติของพระพุทธศาสนา อาการสุดท้ายที่เกิดขึ้นจึงเป็นการสลัดออกจากการยึดมั่นถือมั่น ซึ่งทรงแสดงลำดับหรือสภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยลำดับว่า
เมื่อจิตควรแก่งาน คือเป็นกัมมนีโยขั้นสูงสุดแล้ว จิตก็น้อมไปพิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย คือพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง หรืออนิจจานุปัสสี เมื่อเห็นความจริงด้วยปัญญาเช่นนั้นแล้วก็เกิดความ
เบื่อหน่ายคลายจางจากความยึดมั่นถือมั่น หรือวิราคานุปัสสี
เมื่อการคลายจากการยึดมั่นถือมั่นไปโดยลำดับ ความยึดมั่นถือมั่นนั้นก็ถูกละหรือถูกดับไปด้วยปัญญาที่เห็นความจริงนั้น หรือที่เรียกว่า นิโรธานุปัสสี
เมื่อการละหรือการดับการยึดมั่นถือมั่นเป็นลำดับจนสิ้นเชิง นั่นก็คือสภาวะที่สมุทัยอริยสัจ หรือเหตุแห่งทุกข์ได้ละหรือดับถึงที่สุด ความเป็นอิสระสูงสุดก็เกิดขึ้น สลัดออกจากความยึดมั่นถือมั่นสนิทและสิ้นเชิง ซึ่งเรียกว่าปฏิสัคคานุปัสสี
ในพลันที่เหตุแห่งทุกข์หรือสมุทัยถูกละหรือดับสิ้นเชิง จิตก็หลุดพ้นจากความถือมั่นยึดมั่นทั้งปวง ทุกข์จึงดับสนิท เพราะเหตุแห่งทุกข์นั้นถูกละหรือดับสนิทแล้ว ความรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเจริญถึงขีดสุดแล้ว ความปรุงแต่งทั้งหลายไม่กลับเกิดขึ้นอีกแล้ว เป็นสภาวะที่ทรงเปรียบว่า เหมือนกับตาลยอดด้วนที่ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้อีก กิจอันพึงศึกษาปฏิบัตินอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว
ณ บัดนั้น ก็จะมีญาณทัศนะ หรือความรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งบังเกิดขึ้นอย่างแจ่มแจ้งว่า ได้เข้าถึงสภาวธรรมแห่งความหลุดพ้นแล้วหรือที่เรียกว่าได้เข้าถึงวิชชาและวิมุติแล้ว ดังที่ตรัสไว้ในอนัตตลักขณสูตรว่า
“วิราคา วิมุจจะติ วิมุตตัสสมิง วิมุตตะมิติ ญาณัง โหติ”
ชาวพุทธทั้งปวงพึงศึกษาและทำความรู้จักอนัตตลักขณสูตรให้จงดี เพราะเป็นพระสูตรสำคัญที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแล้ว ทำให้บังเกิดพระอรหันต์ขึ้นในพระพุทธศาสนาเริ่มตั้งแต่ปัญจวัคคีย์ เป็นต้น
การบรรลุการเป็นพระอรหันต์ในโพธิกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เกือบทั้งหมดเป็นการบรรลุหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาเรื่องอนัตตลักขณสูตร และอีกจำนวนหนึ่งหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาเรื่องอนุปุพพิกถา
ไม่มีพระอรหันต์องค์ใดที่บรรลุเพราะการถกเถียงในเรื่องนิรุกต์ หรือรากแห่งภาษา หรือตรรกะ หรือหลักการใช้เหตุผลแสวงหาความจริงเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี