นับเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ “การรับฟังกัน” ได้เกิดขึ้นแล้ว ในกรณีมีประชาชนมานั่งอดอาหาร เรียกร้องให้มีการทบทวนการเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงถ่านหิน ที่กระบี่-เทพา เมื่อผู้ประสานงาน “เครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเล เทพา-กระบี่ ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน” ได้มีการส่งตัวแทนเข้าพบนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โดยผลการเจราจาได้มีการบรรลุในข้อตกลงสำคัญ คือ รัฐบาลโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เดินทางมาพบกับผู้ชุมนุมหน้าสำนักงานสหประชาชาติ ทั้งนี้ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มาลงนามในหนังสือสัญญาเพื่อยุติโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา ตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่จัดการชุมนุมด้วยวิธีสันติอหิงสามาจนถึงวันนี้ รวมเป็นเวลา 9 วัน
ขณะที่ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ในฐานะที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีให้มาช่วยเรื่องโรงไฟฟ้า เพื่อพูดคุยกับพี่น้องให้เข้าใจและหาทางออกร่วมกัน วันนี้ตนจึงมาอยู่หน้า UN กับท่าน รมต.และพี่น้อง ผลการคุยกันตกลงมี 3 ข้อ ดังนี้ 1. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ขอให้กฟผ.ถอนรายงาน EHIA ทั้งโรงไฟฟ้าเทพาและโรงไฟฟ้ากระบี่จาก สผ. ภายใน 3 วัน 2. ให้มีการทำ SEA (รายงานสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์) ในทั้ง 2 พื้นที่ โดยคนกลาง ภายใน 9 เดือน และหากผลออกมาว่าไม่เหมาะสม ให้หยุดการดำเนินการใดๆ 3. หากผลการศึกษา SEA ชี้ว่าเหมาะสม ในขั้นตอนทำ EHIA ต้องจัดทำโดยคนกลางที่ยอมรับร่วมกัน
ทั้งนี้ ภายหลังจากการลงนามข้อตกลงแล้ว แกนนำได้ประกาศสลายการชุมนุม และประกาศว่าหากรัฐบาลหรือ กฟผ.ทำผิดสัญญาข้อตกลงก็จะกลับมาชุมนุมทวงสัญญาอีกครั้ง หลังจากนั้นได้แจ้งให้ผู้ร่วมชุมนุมทำความสะอาดพื้นที่บริเวณโดยรอบ ก่อนเดินทางกลับ
จากรายงานข่าวดังกล่าวนี้ สะท้อนว่า ถ้ามีการ “พบกันได้” หรือ “ฟังกันบ้าง” ก็จะนำไปสู่การ “หาทางออกร่วมกัน” ไม่ต้องสุดโต่ง ดึงดัน เพื่อจะชนะโดยไม่มีเหตุผลอันควร
นานมากแล้ว ที่เรื่องนี้ “ไม่มีข้อยุติ” ครั้งนี้ ข้อตกลงสามข้อควรนำไปสู้การได้ข้อยุติเสียทีนะครับ ฝ่ายรัฐต้องเป็นเจ้าภาพหาทางออก โดยไม่ฟังแต่ฝ่าย กฟผ. ขณะที่ฝ่ายประชาชนก็ต้องไม่ “สุดโต่ง” เพราะประชาชนที่สนับสนุนก็มี แต่ตัวตัดสินไม่ได้อยู่แค่มีฝ่ายหนุนมากกว่าฝ่ายต้าน แต่มันอยู่ที่ “ความคุ้มค่าของการใช้พื้นที่เชิงยุทธศาสตร์” ว่านอกเหนือจากใช้เป็นที่ตั้งโรงผลิตพลังงาน ด้วยเชื้อเพลิงอะไรก็ตามแล้ว ความคุ้มของค่าพื้นที่ในเชิงการประมง ชุมชน และการท่องเที่ยว ควรถูกลดทอน ทำลาย หรือได้รับผลกระทบหรือไม่ เพียงใดด้วย
คิดร่วมกันให้เป็น หาทางออกร่วมกันให้ได้ สร้างความไว้ใจ ลดความสุดโต่งลงมาเสีย
ขอหยิบเอาความเห็น มุมมองของ 2 ท่านมานำเสนอประกอบไปกับเรื่องนี้ ดังนี้
1) ในมุมมองของ ดร.สมพร ช่วยอารีย์ นักวิชาการภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ปัตตานี มองเรื่องนี้ว่า สะท้อนให้เห็นปัญหาหลายประการ ในหัวข้อ “ประชาชนเรียกร้องรัฐบาล “ยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา” ด้วยการอดอาหาร สะท้อนอะไรในสังคมไทยบ้าง?”
โดย ดร.สมพร แสดงความเห็นว่า
1.สถาบันทางวิชาการไม่สามารถจะเป็นที่พึ่งในการได้มาถึงคำตอบของประเทศ? ความต้องการไฟฟ้า ไฟฟ้าสำรองของประเทศเหลือ ไฟฟ้าภาคใต้พอหรือไม่พอ ถ่านหินสะอาด? เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด? ค่าต่ำกว่ามาตรฐาน? ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่? แหล่งอาหารและทำมาหากินของชุมชน? ความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ? ....? สถาบันทางวิชาการไม่สามารถเป็นที่พึ่งในการหาคำตอบให้อย่างเป็นรูปธรรม? กลัวความขัดแย้ง? ต้องเป็นกลางอย่างไรในสังคม?
2.ทางออกของการแก้ปัญหาในสังคมไทย เราล้มเหลวในการใช้ความรู้ทางวิชาการเพื่อแก้ไขปัญหาให้สังคมใช่หรือไม่? ทางออกของพลังงานไฟฟ้า มันมีทางเลือกตัวเลือกเพียงแค่ ถ่านหิน นิวเคลียร์ แก๊สธรรมชาติ หรือฟอสซิลเท่านั้นหรือครับ?
3.ตั้งแต่ประจวบฯ ชุมพร หัวไทร ท่าศาลา ตรัง กระบี่ และเทพา หรือแถมปะนาเระ ได้มาอย่างไร? คนใต้ได้มีส่วนร่วมไหม? รัฐตั้งโจทย์ทางด้านพลังงานผิดพลาดหรือเปล่า? มิใช่เอาธงถ่านหินมาปักตามที่ดังกล่าว แต่ควรจะถามพื้นที่ทั้งภาคใต้ว่า ปัญหาคืออะไร? ทางออกร่วมคืออะไร? เคยคิดถึงธงร่วมคิด ธงร่วมทำหรือไม่? กระบวนการปักธง ปักหมุด หรือขีดลากในกระดาษน่าจะต้องทบทวนใหม่แล้วครับ?
4.การอดอาหารของประชาชน ผมก็มองไม่เห็นทางออกว่า รัฐจะเห็นคุณค่านี้ เห็นความสำคัญนี้ได้อย่างไร? ผมคิดว่าสถาบันการศึกษาไม่ควรจะนิ่งเฉยกับเรื่องเหล่านี้? หากเราต้องการจะเคลมกับสังคมว่า เราทำเพื่อสังคม เรานำวิชาการออกสู่สังคม เราจะรับใช้สังคม
5.เมื่อ 3-4 วันก่อน ผมเห็นประโยคหนึ่งเข้าสายตาและทำให้ผมขบคิดมาตลอดคือ “ประชาชนเท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างประชาชน” ลองอ่านและพิจารณากันลึกๆ ดูครับ ว่าประโยคนี้มันบาดใจตัวเราหรือเปล่า? หรือเราไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับประโยคนี้
6.ในขณะที่ปัญหามีเยอะ แต่ละคนก็วุ่นอยู่กับปัญหาที่ตนเองมี พันธะของตัวกับทางสังคมมันมีแรงยึดเหนี่ยวเหลืออยู่แค่ไหน? คงต้องลองทบทวนกันดูครับ
7.ผมว่าถ้ารัฐบาลโยนโจทย์ให้ทุกๆ สถาบันการศึกษาต้องหาโจทย์ทางออกของพลังงานแล้วให้สร้างโรงไฟฟ้าเพื่อลดค่าไฟฟ้าของตนเองเพื่อค้นคว้าวิจัย ให้มีโรงไฟฟ้าชนิดต่างๆ ในมหาวิทยาลัยก็คงจะดีครับ จะได้รู้ว่าความรู้ทางวิชาการที่เรามีนั้น แก้ปัญหานี้ได้เองหรือไม่? โดยกำหนดออกมาว่าจะต้องลดการใช้พลังงานลงได้ปีละกี่ % 5% 10% 20% 30% 50% 80% 100% เพื่อให้แต่ละสถาบันเป็นต้นแบบทางออกให้กับสังคมได้ด้วย โดยไม่ยกภาระการแก้ปัญหาเองของชุมชนที่จะเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้านั้นต้องต่อสู้เพียงลำพัง?
8.จะมีสถาบันการศึกษาไหน เปิดให้มีการถกกันอย่างกว้างขวางในเรื่องเหล่านี้ ทางออกของพลังงานไทย “มหาวิทยาลัยพึ่งตนเอง” ใครจะกล้าประกาศครับ? ระดับครัวเรือนนำร่องไปพอสมควรแล้วครับ
2) อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกันก็คือ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560 นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ตั้งคำถามที่ต้องมี
คำตอบว่าทำไมเรายังคิดจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน? ทั้งๆ ที่มีรายงานข้อสรุปจาก Carbon Trackerว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินในยุโรปใกล้ถึงจุดอวสาน โดยนายกรณ์นำเสนอว่า
“ขอเขียนเรื่องที่ขอออกตัวยอมรับว่าไม่สนุก ไม่ดราม่า แต่ผมว่าสำคัญมาก (และหน่วยงานราชการทีรับผิดชอบก็อยากให้เราไปสนใจเรื่องอื่น) รายงานล่าสุดโดย Carbon Tracker มีข้อสรุปว่า
โรงไฟฟ้าถ่านหินในยุโรปกำลังใกล้จุดอวสาน
1. วันนี้ 54% ของโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดในยุโรปขาดทุน และภายในปี 2030 (อีก13ปี) จะขาดทุนเพิ่มเป็น 97% - คือเกือบทุกโรงไฟฟ้าถ่านหินจะขาดทุนหมด
2. ภายในปี 2024 การสร้างโรงไฟฟ้าพลังลมจะถูกกว่าการปั่นไฟโดยโรงไฟฟ้าถ่านหิน และภายในปี 2027 การสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์จะถูกกว่าการปั่นไฟโดยโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะ เทคโนโลยีที่ดีขึ้น และเพราะภาษีคาร์บอนที่จะเพิ่มขึ้นซึ่งจะกระทบกับถ่านหินโดยตรง (เพราะจะ“สะอาด”อย่างไรก็พ่น CO2 ออกมามากที่สุด)
3. อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ในยุโรปมีแผนจะปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินเพียง 27% ของโรงไฟฟ้าทั้งหมด เพราะผู้ผลิตหวังว่าค่าไฟจะสูงขึ้น และต้องทนขาดทุนเพราะค่าใช้จ่ายที่จะต้องแบกรับจะสูงมากในการปิดโรงที่เปิดอยู่แล้ว ซึ่งในหลายประเทศผู้ผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินยังคาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือด้วยเงินภาษีจากรัฐบาลของตนด้วย
4. อย่างไรก็แล้วแต่มีหลายประเทศในยุโรปที่มีนโยบายชัดเจนที่จะปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดภายในปี 2030 เช่น อังกฤษ เดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ แต่ก็มีอีกหลายประเทศที่ยังพึ่งพาไฟฟ้าจากถ่านหินอยู่ (ซึ่งประเทศเยอรมนีที่ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้นั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะเร่งปิดโรงถ่านหินกันเร็วแค่ไหน)
คำถามที่เราต้องมีคำตอบคือ ประเทศไทยเราต่างกับประเทศอื่นๆ เหล่านี้อย่างไร? ทำไมเรายังคิดจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน?
เราจะได้คำตอบว่า เพราะตอนนี้เราพึ่งก๊าซมากเกินไป และก๊าซจากอ่าวไทยและจากพม่าใกล้จะหมด แต่ผมมองว่านี่กลับเป็นโชคของเรา เพราะอนาคตคือพลังงานทดแทนหรือพลังงานหมุนเวียน ส่วนหากยังคิดว่าเราต้องมี “โรงไฟฟ้า” เพิ่มเติมเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียน เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ถ่านหิน เราใช้ก๊าซ LNG ก็ได้ การลงทุนน้อยกว่ากัน (ทำให้ยืดหยุ่นมากกว่าในกรณีที่เทคโนโลยีทำให้พลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต) และยังเป็นแหล่งใหม่ที่จะมาทดแทนโรงไฟฟ้าที่ในปัจจุบันต้องพึ่งก๊าซจากอ่าวไทยและพม่าอีกด้วย
ก็จะมีคนบอกว่า แต่ LNG เราต้องนำเข้า...ก็แค่ขอถามกลับว่าแล้วถ่านหินไม่ต้องนำเข้าหรือครับ
สรุป เราควรปรับระบบพลังงานไฟฟ้าให้เข้ากับเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่พัฒนาขึ้น ประชาชนและผู้ประกอบการรายเล็กสามารถเป็นผู้ผลิตได้ ไม่ต้องอาศัยโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เหมือนในอดีต
ผมขอยํ้าเป็นประเด็นสุดท้ายว่า วันนี้ สิ่งที่กฟผ. ไม่ค่อยพูดถึง คือ กำลังผลิตเราเกินความต้องการอยู่กว่า 30% และเมื่อมีการสร้างทุกโรงไฟฟ้าตามที่กฟผ. ได้ลงนามสัญญากับเอกชนไปแล้ว กำลังผลิตจะเกินความต้องการถึงเกือบ 40% ว่ากันไปตามความจริงครับ”
สรุปท้ายสุด เรื่องนี้มาถึงจุดที่ดีมากๆ อีกครั้ง คือต่างฝ่ายต่างถอย งานที่เหลือคือ “คิดร่วมกันให้เป็น หาทางออกร่วมกันให้ได้ สร้างความไว้ใจ ลดความสุดโต่งลงมาเสีย” เพื่อจะได้
“คำตอบสุดท้าย” ร่วมกัน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี