หลังจากที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองจากระบอบธนาธิปไตยและตั้งตัวเป็นองค์อธิปัตย์ปกครองประเทศมาเป็นเวลาเกือบ 4 ปี และหลังจากร่างรัฐธรรมนูญ ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2560 พร้อมทั้งสัญญาว่า อีกไม่นานจะคืนอำนาจประชาธิปไตยให้กับประชาชนชาวไทย ซึ่งเวลาอีกไม่นานนั้นไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า อีกนานเท่าใด
อย่างไรก็ดี เพื่อที่จะทำให้ประชาชนชาวไทยเตรียมพร้อมที่จะร่วมกันทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตย โดยวงจรอุบาทว์ไม่กลับคืนสู่สังคมการเมืองอีก แต่สิ่งที่ประชาชนชาวไทยจะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ จะต้องเข้าใจและซาบซึ้งในบทบาทของประชาชนในสังคมประชาธิปไตย รวมทั้งเข้าใจถึงบทบาทของตัวแทนที่เลือกไปทำหน้าที่บริหารประเทศแทนประชาชน ตัวแทนดังกล่าวเรียกว่า “นักการเมือง”
หน้าที่ของนักการเมือง ที่ได้รับการเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนพอจะสรุปได้ว่ามีบทบาทหน้าที่ในรัฐสภา บทบาทหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินและบทบาทนอกรัฐสภา
บทบาทหน้าที่ในรัฐสภาในทางนิติบัญญัติ ได้แก่ การออกกฎหมาย บทบาทในการควบคุมการบริหารของรัฐบาล ได้แก่ การตั้งกระทู้ถาม การอภิปรายในรัฐสภา การลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล การอนุมัติงบประมาณ
บทบาทในการบริหารราชการในกรณีที่ดำรงตำแหน่งเป็นฝ่ายบริหาร ได้แก่ เป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งการเมืองอื่นในการบริหาร เมื่อพรรคการเมืองที่ตนสังกัดได้เป็นรัฐบาล หรือร่วมเป็นรัฐบาล ซึ่งมีอำนาจในการบริการก็มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายและนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
นอกจากหน้าที่ในรัฐสภาแล้ว นักการเมืองยังมีหน้าที่นอกรัฐสภาซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าในรัฐสภาพ ได้แก่ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สร้างความสัมพันธ์กับประชาชน เพราะการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น นักการเมือง คือ “ผู้อาสาสมัคร”ที่อุทิศตนเพื่อบำเพ็ญหน้าที่ให้เกิดประโยชน์สูงแก่สังคม
สรุปรวมความว่า นักการเมืองในฐานะผู้อาสาประชาชนเข้ามาทำหน้าที่ทางการเมืองในตำแหน่งต่างๆ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความมั่นคงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ฉะนั้นนักการเมืองต้องเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบสูงโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะประกาศลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความบกพร่องในงานที่รับผิดชอบ หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตน ซึ่งนักการเมืองที่มีมโนธรรมพึงปฏิบัติ
อย่างไรก็ดี หัวใจสำคัญของความสำเร็จ หรือล้มเหลวในการปกครองระบอบประชาธิปไตย คือ พลังควบคุมของประชาชนว่า มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ถ้ามีประสิทธิภาพมากการปกครองระบอบประชาธิปไตยก็จะประสบความสำเร็จ ตรงข้ามถ้าพลังควบคุมของประชาชนอ่อนแอความล้มเหลวของระบอบนี้ก็จะเกิดขึ้น คุณสมบัติดังกล่าวจะสัมฤทธิผลเมื่อประชาชนตื่นตัวทางการเมืองตลอดเวลา และพร้อมที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยความสำนึกรับผิดชอบอย่างแท้จริง
สำหรับการเมืองไทยนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมากว่า 83 ปี แต่ล้มเหลวตลอดมา ส่วนหนึ่งเพราะประชาชนขาดความตื่นตัว ฉะนั้น การเมืองหลังจากคณะความสงบแห่งชาติคืนอำนาจอธิปไตยให้แม้เป็นเพียง “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สังคมการเมืองไทยจะพัฒนาไปสู่สังคมประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ในที่สุด
อดีตเป็นบทเรียนที่ดีถึงความล้มเหลวของการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “วงจรอุบาทว์” คงจะไม่กลับคืนสู่การเมืองไทยอีกดังเช่นอดีตที่ผ่านมา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี