ยังเหลือความระยำต่ำช้าใด ที่ยังไม่ได้โผล่ออกมาให้ “ประชาชน” อย่างเราๆ ได้เห็นอีกบ้าง
เออหนอ...อะไรที่ไม่คิดว่าคนมันจะเลวทรามต่ำช้าได้ปานนั้นก็พลันได้เห็น ที่ผ่านมาก็จิกหัวด่ากันแต่เฉพาะ “นักการเมือง” ว่าขี้โกง ขี้ฉ้อ คอร์รัปชั่น สารพัดสารพันจะเลวทราม จนไม่อยากจะไป “เลือกตั้ง” กันอีกแล้ว
แต่ในยุคนี้ “รัฐข้าราชการ” ดัชนีการทุจริตก็หาได้ทุเลาเบาบางลง ชนิดที่จะชี้ได้อย่างชื่นใจมิได้เลยว่า เห็นมั้ย พอไม่มีนักการเมือง การโกงของเราแทบไม่หลงเหลืออยู่เลย
ถึงเวลาแล้ว ที่ “ลุงตู่” ไทยนิยม จะต้องลุยปราบการทุจริตในวงราชการให้ราบคาบ ในฐานะที่ “โปรข้าราชการ” เสียสุดลิ่มทิ่มประตู
1) กรณี “เงินทอนวัด”
17 มิ.ย. 2560 ที่วัดเล็บกระรอก หมู่ที่ 9 ต.ด่านสวี อ.สวี จ.ชุมพร พระอธิการ ทวี ธัมมะทินโน เจ้าอาวาส ได้โทรศัพท์เชิญผู้สื่อข่าวไปที่วัดพร้อมทั้งนำเอกสาร ของสำนักงานพระพุทธศาสนา เลขที่ ชพ.0034/0518 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2558 เรื่องจัดสรรเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ในวงเงิน 6 ล้าน 6 แสนบาท ให้กับวัด 5 วัด ใน อ.สวี และ สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาสวี ในนามวัดเล็บกระรอก ที่มีเงินโอนเข้ามา 2 ล้านบาทในวันที่ 17 ธ.ค.2558 และ โอนออกไปในวันที่ 5 ม.ค.2559 ห่างกัน 20 วัน
พระอธิการทวี เปิดเผยว่า ในเดือนธ.ค. ปี 2558 ได้มี จนท.ของสำนักพุทธฯ มาหาโดยขับรถมีตราของสำนักพระพุทธศาสนา บอกว่าจะจัดงบประมาณให้ 2 ล้านเพื่อปรับปรุงโบสถ์ พร้อมทั้งถือหนังสือฉบับดังกล่าว และบังคับให้เซ็นเอกสาร แต่เจ้าอาวาสไม่ยอมเซ็น ต่อมาในเดือนเดียวกันได้มีพระชั้นปกครองใน อ.สวี มาบอกให้ไปเปิดบัญชีธนาคารในนามของวัด และมีเงินโอนเข้ามา 2 ล้าน เพียง 20 วัน ก็มี จนท.สำนักพุทธฯ พร้อมพระชั้นปกครองรูปเดิม ให้ไปโอนเงินจำนวนดังกล่าวออกจากบัญชีวัด ตนเองก็ยอมไปโอน เพราะคิดว่าไม่น่าใช่เงินที่ถูกต้อง และในขณะที่โอนเงินก็ถูกกันไม่ให้ทราบว่าเป็นการโอนไปให้ใคร พร้อมทั้งพยายามให้ เซ็นเอกสาร และมอบเงินให้ 4 แสนบาท แต่ไม่ยอมเซ็นและไม่ยอมรับเงิน เนื่องจากการสร้างโบสถ์ของวัดได้จากเงินบริจาคทั้งสิ้น แต่ จนท.สำนักพุทธฯ มาถ่ายภาพโบสถ์ ซึ่งดูไม่ชอบมาพากล จึงไม่ร่วมมือด้วย
นอกจากนั้นยังพบอีกว่าบางวัดก็โดนกระทำเช่นเดียวกับวัดของตนเอง แต่เจ้าอาวาสไม่กล้าออกมาเปิดเผย ตนเองเห็นว่า ในเมื่อเป็นถึงเจ้าอาวาส และเป็นพระ ถ้าไม่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่สมควรเป็น ในตอนแรกคิดจะลาสิกขา แต่เมื่อเห็นเจ้าคณะจังหวัดชุมพรออกมาเปิดเผยเรื่องเงินทอน และแฉขบวนการโกงเงิน งบประมาณ จึงตัดสินใจเปิดเผยเรื่องนี้แก่สาธารณชนให้ทราบ และเจ้าคณะจังหวัดชุมพรขอร้องให้อย่าลาสิกขา ขอให้อยู่สู้ด้วยกันเพื่อพระพุทธศาสนา จึงตัดสินว่าจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องต่อไป
นี่คือ “ยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งความโสมม” ยอดแรกที่ผุดขึ้น แล้วลากพาเราไปรับรู้ว่า การ “อมเงินอุดหนุนวัด” ของข้าราชการระดับ “อดีต ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” สมคบกับข้าราชการระดับรองลงมา และพระบางส่วน (ไม่รวมพระส่วนใหญ่ที่เป็นเหยื่อ ถูกหลอกลวง ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย) ที่กระจายอยู่ทั่วไปในทุกภูมิภาค
โชคดีนักหนา ที่เราได้ “พระกล้า” เปิดเผยเรื่องนี้ ได้ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาที่ดี อย่าง พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ที่ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง แต่ด้วยเหตุกระไรมิทราบได้ ถูกเด้งไปเสียดื้อๆ ดีว่า “ฟ้าดิน” แลประชาชน เห็นในคุณความดี ดลบันดาลให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อีกหน ไม่รู้ว่าคนจรดปากกาออกคำสั่งย้ายอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง
บัดนี้ ความคืบหน้าของการติดตาม เอาผิด และตรวจสอบขยายผลเพิ่มเติม ดูจะเงียบเชียบไป ไม่รู้ว่าไปเจอตอหรือสะดุดชายผ้าเหลืองผืนใหญ่ที่ตรงไหนเข้าหรือไม่ ถึงพากันเงียบกริบไปหมด
ใครจะคิดล่ะครับ การการโกงจะเกิดในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งควรเป็นแบบอย่างของการมี ศีลธรรม” แถมบางส่วนพาดพิงไปถึงพระที่คอย “จัดหาวัด” มาให้โยม เพื่อโอนเงินไป และถอนคืนมาอย่างหน้าด้านๆ ว่ากันว่า สนิทชิดเชื้อกับ “เจ้าคณะหน” ที่นั่งหัวเลื่อมอยู่ในมหาเถรสมาคมด้วย
และ พล.อ.ประยุทธ์ ครับ บัดนี้การโกงในทำนองนี้ มาเกิดซ้ำกับหน่วยงาน “ดูแลผู้ยากไร้” เข้าอีก ทราบว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งตรวจสอบแบบปูพรมทั่วประเทศ ลองเอาคนผิดมาลงโทษให้สังคมเห็นเป็นจริงเป็นจัง ดั่งที่ท่านประกาศกร้าวว่า จะเข้ามา “ปราบการทุจริตคอร์รัปชั่น” ให้มันลือลั่นไปทั้งสามโลกให้ดูบ้าง จะได้ไหมครับ อย่าให้ลอยนวลไปได้ เหมือน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เลยนะครับ
2) กรณี “ขวานป้า”
เป็นที่ลือลั่นสนั่นประเทศทีเดียว กรณีป้าๆ ซึ่งคนไม่ได้สนใจจะจำว่า มีชื่อเรียงเสียงไร ควงขวานออกมาจามรถ ใช้เสียมทุบรถ ที่จอดขวางทางเข้า-ออกบ้าน ท่ามกลางข้อมูลอีกด้าน ว่าสีป้าในบ้านนี้เป็น “คนแปลกๆ” และสื่อทั่วไปก็กำลัง “รำขวาน” ขายดราม่า เอาไมค์จ่อปากพ่อค้าแม่ค้า ให้ด่าป้าบ้าง ให้พูดว่าตัวเองจะเดือดร้อนบ้าง แล้วก็เอาไมค์ไปจ่อปากป้าทั้งหลายอีกที ขายข่าวกินไปวันๆ โลกโซเชียลก็เหมือนกัน คาบบางคำไปจิกต่อ ด่าต่อ ด่ากันไป ด่ากันมา หาได้ดูโครงสร้างใหญ่ ที่กัดกิน บ่อนทำลาย จนต้องเกิด “มนุษย์ป้ารำขวาน” ขึ้นมา ให้ขบเคี้ยวกันอย่างสนุกปากในเวลานี้
ป้าทั้งหลายคงไม่ต้องออกมาทุบรถเลย ถ้าคนเรามี “สามัญสำนึก” เป็นพื้นฐานว่า ทางเข้า-ออกบ้านคน ไม่ใช่ที่จอดรถ ไม่ว่าเขาจะเข้าจะออกตอนไหน ก็เป็นสิทธิของเขา หรือแม้แต่เขาจะนอนตีพุงอยู่ในบ้านทั้งวันทั้งคืน ก็ไม่ควรมีมนุษย์หน้าไหนไปจอดรถปิดทางเข้า-ออกบ้านของใครใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องพูดด้วยว่าแป๊บเดียว 10 นาที เพราะนั้นคือคำพูดของ “ความเห็นแก่ตัว-เห็นแก่สะดวก” ของตนเท่านั้น และไม่ต้องเถียงด้วยว่า หน้าบ้านเป็นทางสาธารณะ ใช่ แต่ทางเข้าออกบ้านคน มันก็คือทางเข้า-ออกใช่ไหม จะตะแบงหน้าหนากันไปไยหนอมนุษย์
ไล่ดู “ขยะใต้พรม” กรณีนี้กันดีกว่า
ป้าปลูกบ้านอยู่ (หรือจะซื้อก็ตามเถอะ) วันหนึ่งตลาดมาล้อมบ้านป้า โดยที่ตลาดเหล่านั้นเป็น “ตลาดเถื่อน” ไม่ได้แจ้งเปิดเป็นตลาดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าป้าแกจะเพี้ยน คนภายนอกจะดีแสนดี (อย่างที่พยายามจะแสดงกัน) สักเท่าไหร่ก็ตามเถอะ ตลาดเถื่อนไม่มีสิทธิเปิด แต่ป้ากับบ้าน มีสิทธิจะอยู่ตรงนั้นอย่างผาสุก
ป้าไปร้องที่เขต นานเพียงใดที่เขตเพิกเฉยไม่ดำเนินการใดๆ ทั้งๆ ที่เป็นอำนาจ และตลาดก็ไม่ใช่ขนาดเท่าขนหมาขนแมว ที่จะมองไม่เห็น เปิดกันครึกโครมขนาดนั้น ผอ.เขต ก็ดี เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ดี หูหนวกตาบอดกันหรืออย่างไร ไม่มาดูมาแล จนไปกระทบสิทธิประชาชนคนอื่นเขา ถ้าเขตเข้ามาดูเรื่องนี้เสียตั้งแต่แรก เรื่องอื่นๆ จะไม่เกิดตามมาเลย เขตจึงเป็น ไปมปัญหาสำคัญที่สุด” ของเรื่องนี้
เมื่อเขตเพิกเฉย ก็เลยไปร้องผู้ว่าฯ แต่ก็ยังคงไร้ความคืบหน้า การไปร้องต่อศาลและองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.ก็เกิดตามมาก บัดนี้ลองนับวันเวลากันดูไหมครับว่า ศาลใช้เวลานานเพียงใด ชวนให้นึกถึงคำว่า “ความล่าช้าคือความอยุติธรรม” บ้างหรือไม่ ป้าๆ ไปร้อง ป.ป.ช. วันเดือนปีไหน ล่าสุดถึงเพิ่งได้ยินว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ว่ามีการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ม.157 ที่ป้าไปร้องเรียน
ยอดภูเขาที่โผล่มาคือ ป้าทุบรถ นำไปสู่การรับรู้ว่ามีตลาดเถื่อน นำไปสู่การรับรู้ว่าเขตไม่กระตือรือร้น ไม่ตรวจสอบ จนผู้ว่าฯพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ต้องไป “ดุลูกน้องโชว์สื่อ” ถึงหน้าบ้านป้า ความคืบหน้าเรื่องปิดตลาดจึงได้ชัดเจนขึ้นราวกับมีอภินิหาร หลังจากนี้ก็รอศาล รอ ป.ป.ช. และรอ “สรรพากร” เห็นไหมครับ ว่ามีกี่หน่วยงานที่ล่าช้าและเพิกเฉยกับเรื่องที่เกิด
3) กรณี “ล่าเสือดำ”
การล่าสัตว์ป่า เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่ออกลาดตระเวน ปะทะกับนายพราน นายทุน อยู่บ่อยครั้ง มีทั้งรอดมาได้ บาดเจ็บ พิการ และตาย ไปก็มิใช่น้อย ซึ่งไม่เคยอยู่ในสายตาของสังคมหรอก
แต่จู่ๆ ก็มี “บิ๊กเนม” อย่างเสี่ยเปรมชัย กรรณสูต เข้ามาเป็นตัวเร่งให้สังคมตื่นตัวขึ้นมารับรู้และสนใจ ว่าสัตว์ป้าคุ้มครองหลายชนิด ถูกล่า ถูกฆ่า สนองรสนิยมส่วนตัวของคนบางกลุ่ม จนเป็นกระแสสึนามิ “ล่าเปรมชัย” ไปทั่วทั้งสามโลก (เฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ยูทูบ)
การล่าสัตว์แล้วถูกจับได้ของคณะนายเปรมชัย เกิดจากความกล้าหาญของชุดจับกุม ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ แต่ซื่อตรงต่อหน้าที่ จนเป็นที่ชื่นชมสรรเสริญของสังคม และนำมาสู่การเห็น “ปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรม” มากมายหลายประการเช่นกัน
มีระบบพี่ระบบน้อง ระบบขี้ข้าระบบเจ้านาย ทำให้เกิดช่องทาง “วีไอพี” เข้าป่าได้ โดยที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างๆ ที่เป็นคนซื่อคนตรง ได้แต่ทำตาปริบๆ การตรวจสอบหย่อนยานลง เพราะมีคน “ประทับตรา” ว่า “แขกข้า” อย่าได้ยุ่ง แถมเงินร้อยบาทสิบบาทค่าเข้าป่าก็ไม่ต้องจ่ายอีกต่างหาก ขี้ตืดชะมัด!
ผลพวงจากเหตุการณ์นี้ ทำให้คดีอื่นๆ ของ “เปรมชัยและครอบครัว” ถูก “ขุด” ขึ้นมา เช่น กรณีรุกป่า ครอบครองที่ดินผิดกฎหมาย ในจังหวัดเลย ซึ่งผิดมานานหลายปี แต่ไม่มีการบังคับคดีหรือเพิกถอนการครอบครอง ทำไมล่ะครับ ทำไมต้องให้เกิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาซะก่อน เรื่องอื่นๆ ถึงค่อยถูกตรวจสอบ ถูกบังคับให้ทำให้ถูกต้องตามมา ทำกันเสียตามลำดับ ตามกระบวนการกันไม่ได้เลยหรือครับ ถึงปล่อยให้วงศ์วานว่านเครือของนายเปรมชัย ถือครองที่ดิน ใช้ที่ดิน ผิดกฎหมายมาได้ช้านาน นี่ถ้าแกไม่เข้าไปไปล่าเสือดำ เรื่องที่ดินภูเรือ ก็คงอมพะนำกันอยู่อย่างนั้นหรือไงครับ
ชีวิตของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าดีขึ้นไหม ได้รับความใส่ใจจริงจังบ้างหรือเปล่า จากเหตุการณ์นี้ ยังจะอยู่ในสถานะ “ลูกจ้างประจำ” หรือเปลี่ยนให้เป็นข้าราชการ มีเงินเอน สวัสดิการ และอาวุธที่จะช่วยป้องกันพวกเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ต้องขออภัยที่เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ได้โดยย่อตามที่กล่าวมา แต่ทั้งหมดต้องการเพียงชี้ให้เห็นว่า มันน่าอดสูใจเพียงใด ที่ระบบการทำงานของหน่วยงานทั้งหลายในบ้านเรา จมอยู่กับความ
เพิกเฉย นิ่งดูดาย ไม่กระตือรือร้น เผลอๆ รับสินบน แล้วละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กันไปด้วยก็ได้
ในยุคของ “การปฏิรูปประเทศ”
ในยุคของคณะผู้บริหารที่มี “อำนาจเบ็ดเสร็จ”
ในยุคของการส่งเสริมให้ “ข้าราชการ” เป็นใหญ่
ความฟอนเฟะ ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ เกาะกินเงือนเดือนและสวัสดิการรัฐไปวันๆ เช่นนี้ รวมไปถึงการกินสินบาทคาดสินบน อมเงินงบประมาณ ด้วยการทำทีเอาไปให้พระ ให้วัด ให้คนไร้ที่พึ่ง แต่สุดท้ายเข้ากระเป๋าตัวเองนี้ จะมีการ “กวาดล้าง” ชำระเสียให้สะอาดไหมครับ
การปฏิรูประบบราชการ สำคัญมากเลยครับ ที่เคยโทษ “นักการเมือง” กันมา บัดนี้คงเห็นแล้วว่า ไม่มีนักการเมืองมา 3 ปี คอร์รัปชั่นไม่มี หมดไป ไม่เกิดขึ้นอีกเลย ใช่หรือไม่ใช่ ซึ่ง
ก็ไม่ได้บอกหรอกนะครับ ว่านักการเมืองเจ๋ง ดี รีบเอากลับมา
แค่อยากเรียนท่านนายกรัฐมนตรีที่เคารพว่า คนชั่วและคนดี มีอยู่ทุกที่ ทุกวงการ ตรวจสอบเสียให้แข็งขัน เอาผิดเสียให้เป็นเยี่ยงอย่าง และปฏิรูปเสียให้ดีงาม
“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” 3 ปีผ่าน กำลังจะครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร นานพอหรือยังครับ? ที่จะทำให้บ้านเมืองของเรา สะอาดและดีพอ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี