คนไทยเราทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกันของงบประมาณประจำปีที่มาจากการเสียภาษีต่างๆ โดยรัฐบาลมีหน้าที่นำไปจับจ่ายใช้สอยเพื่อความผาสุกของประชาชนไทย ซึ่งประมาณร้อยละ 70 ของงบประมาณนี้ จะถูกจัดแบ่งแยกไปตามกระทวง ทบวง กรม ทั้งหลาย ส่วนที่เหลือก็นำไปผ่านองค์กรบริหารท้องถิ่นต่างๆ ในงบประมาณส่วนกลางนี้ส่วนหนึ่งจัดให้ไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรี และในส่วนนี้ก็จะกันไว้เป็นงบสำรอง หรืองบฉุกเฉิน
รวมความว่าสังคมรู้ว่า งบประมาณต่างๆ ประจำปีมีเท่าใด (3 ล้านล้านบาท โดยประมาณ) และอยู่ที่ไหน และจะใช้จ่ายไปที่ไหนอย่างไร ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเรื่องปกติ โดยหากงบประมาณไม่เพียงพอก็จะมีการกู้ยืมเงินเพิ่มเติมทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ตามความจำเป็นเร่งด่วน ตามวินัยการคลังและขีดความสามารถในการรองรับภาระหนี้สิน และวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า
การอภิปรายและอนุมัติงบประมาณในยุคสมัยรัฐบาลทหาร คสช.สามารถกระทำได้รวดเร็วและง่าย โดยผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งอยู่ในอาณัติของฝ่ายรัฐบาลทหาร คสช. ไม่เหมือนกับการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
ปีนี้ เมื่องบประมาณผ่านสภานิติบัญญัติไปได้ไม่นานก็มีการออกมาประกาศว่า รัฐบาลทหาร คสช.ได้ตั้งวงเงินไว้200,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งไม่มีรายละเอียดให้สังคมได้ทราบว่า เงินมหาศาลนี้ รัฐบาลได้กันออกมาจากส่วนไหน หรือตัดทอนมาจากงบประมาณกลางอย่างไร และไม่มีการชี้แจงว่างบนี้ได้ผ่านการพิจารณาแสดงข้อคิดเห็นโดยสภานิติบัญญัติหรือไม่ ซึ่งแม้จะบอกว่าเป็นเพียงการพิจารณาโดยมารยาท ก็ไม่ควรกระโดดข้ามขั้นตอนทางกฎหมายกันดื้อๆ ได้
อย่างไรก็ดี คงพออนุมานได้ว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กันเงิน 200,000 ล้านบาทนี้ มาจากงบสำรองของสำนักนายกรัฐมนตรี โดยการใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลนี้ จะถูกดำเนินการผ่านความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย หัวใจของเรื่องก็คือ การจัดตั้งคณะ (Team) เพื่อออกไปชี้แจงคุณค่าเป้าหมายโครงการไทยนิยมยั่งยืนรวม 7,000 กว่าทีม แล้วจะมีการรวบรวมข้อมูลว่าด้วยกิจการ (function)และก็พื้นที่ (Area) ซึ่งรวมความว่าเป็นเรื่องพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นหลัก โดยพ่วงเรื่องการพัฒนาประชาธิปไตยแบบ คสช.ไปด้วย ซึ่งคงเป็นเรื่องรัฐนำพาที่ไม่ใส่ใจการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และไม่ได้สนับสนุนสิทธิพลเมืองของการมีส่วนร่วมแต่อย่างใด
ดูๆ ไปแล้ว ก็คงไม่พ้นเป็นเรื่องตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะว่า
- ไม่ต่างอะไรกับนโยบายประชานิยมที่มุ่งเพียงสร้างฐานเสียง เพิ่มคะแนนนิยมชั่วคราว ผ่านการอัดฉีดงบประมาณสู่ท้องถิ่น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับสังคม
โดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาว
- ลักษณะการดำเนินการนั้นไม่ได้ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น ตามวัตถุประสงค์เสริมสร้างประชาธิปไตยให้กับสังคมไทยที่กล่าวอ้างกัน เพราะการให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบโดยตรง ก็สะท้อนให้เห็นถึงการกระชับอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งหลาย ผ่านทางเครือข่ายมหาดไทยนั่นเอง
- ขาดการอธิบายความแก่สังคม เนื้อหานโยบายไม่มีความชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่าขาดการศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่าคุ้มทุน เสมือนผู้ดำเนินการมโนกันขึ้นมาอย่างเร่งด่วนเพียงเพื่อตอบสนองต่อผู้สั่งการ จึงเป็นการกำหนดนโยบายโดยขาดการมีส่วนร่วมจากสังคม ซึ่งมักจะส่งผลต่อการขาดความโปร่งใสในการดำเนินการในอนาคต เพราะไม่ได้มีการเตรียมการอย่างรอบคอบ
- เมื่อขาดการมีส่วนร่วมจากสังคม ก็กลายเป็นเรื่องที่กำหนดขึ้นมากันเอง แล้วสั่งให้ประชาชนระดับชาวบ้านทั่วไปรับฟัง แล้วก็ทำตามกันไป โดยไม่ต้องสงสัย หรือมีคำถาม ลักษณะแบบนี้ช่างตรงกันข้ามกับพื้นฐานความคิดประชาธิปไตย ที่รัฐบาลบอกว่าจะปฏิรูปเพื่อส่งมอบให้กับสังคมไทย
ทั้งๆ ที่ประเด็นสำคัญนั้นคือ เงิน 200,000 ล้านบาทนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะกันมาจากงบส่วนไหน ก็ถือว่าเป็นเงินจากกระเป๋าของคนไทย เป็นเงินที่ประชาชนชาวไทยเป็นเจ้าของทั้งสิ้น
ดังนั้น ในฐานะเจ้าของเงินควรจะได้รับรู้ก่อนที่งบประมาณจะถูกนำไปใช้ว่า ตัวแทนของพวกเขาจะเอาเงินนี้ไปเสริมงานประจำอะไรบ้าง? เป็นการใช้จ่ายซ้ำซ้อนหรือไม่? หรืองบประจำต่างๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาประชาชนได้? ปัญหาที่ว่าคืออะไร? ใช้แล้วคุ้มค่า แก้ปัญหาเหล่านั้นได้จริงไหม?
ซึ่งรัฐบาลในฐานะผู้ใช้จ่ายงบประมาณแทนประชาชน ควรจะนำหลักฐานเป็นเอกสารรายงานการค้นคว้า วิจัย ประเมินมาแสดงต่อสาธารณะ ก่อนจะกำหนดเป็นนโยบาย และแผนดำเนินงานขึ้น
และเมื่อกระบวนการเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นก่อนประกาศนโยบาย เอกสารวิจัยความคุ้มค่าต่างๆก็ไม่มี จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ประชาชนจะรู้สึกว่า เงิน 200,000 ล้านบาทของเขา คงถูกนำไปปู้ยี่ปู้ยำ ใช้จ่ายกันเมามัน ไม่ต่างกับยุคนักการเมืองน้ำเน่าครองเมือง จะผิดกันหน่อยก็ตรงสมัยนั้น ประชาชนยังพอโวยวายได้บ้าง
เรื่องเหล่านี้จึงน่าแปลกใจต่อสังคมว่า เมื่อจะปฏิรูปให้เกิดประชาธิปไตย แต่ทำไมวิธีดำเนินการใดๆของรัฐ กลับเป็นไปในแนวทางเผด็จการเสมอ เพราะแม้แต่ประชาชนเจ้าของเงิน 200,000 ล้านนี้ นอกจากไม่มีสิทธิ์ทักท้วงแล้ว ยังไม่มีสิทธิ์จะได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าเงินของเขาจะถูกนำไปใช้อย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ ก็คงเป็นเพราะฝ่ายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์นั้น ไม่ค่อยชอบการต้องรับฟังความคิดเห็นต่างๆ จากใคร ดังนั้นถ้าบอกรายละเอียดไป ประชาชนอยากแสดงความคิดเห็น ก็คงรำคาญใจที่จะต้องไปรับรู้
ในเมื่อเป็นรัฐบาลทหาร จะไม่อยากฟัง ไม่รับฟังประชาชน ก็คงไม่มีใครไปบังคับได้ แต่อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไร ดำเนินการปกครองบ้านเมืองแบบไหน มันจะส่งผลถึงอนาคตการเมืองไทยในระยะยาว ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในฐานะเจ้าของร่วมของเงินงบประมาณนี้ ผมขอเสนอให้ชะลอโครงการนี้ เพื่อทบทวนความคุ้มค่า รวมทั้งด้วยเหตุผลต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เพราะเกรงว่า ถ้าจะหลับหูหลับตาทำกันไป มันจะเป็นการผลาญเงินชาวบ้านไปโดยเปล่าประโยชน์
นอกจากนั้น หากอดรนทนไม่ได้ที่จะต้องหาวิธีการใช้เงินของประชาชนจำนวน 200,000 ล้านบาท ให้ได้ ก็อยากขอเสนอให้ใช้เงิน ทำ 3 อย่างนี้เป็นหลัก
1) พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนที่ด้อยโอกาส
2) พัฒนาการรักษาพยาบาลให้ทั่วถึง
3) ใช้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเน้นการสร้างงาน หรืองานเพื่อสาธารณะ (Public Works)
เงินของประชาชน ก็ควรได้ใช้เพื่อสร้างงาน สร้างความมั่นคงในชีวิต พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนไทย ส่วนเรื่องจะเอาเงินประชาชนไปเพิ่มค่าประชุม ค่าเบี้ยเลี้ยงค่าเดินทางต่างๆ ควรจะพอกันเสียที เพราะเท่าที่ใช้อยู่ ทำอยู่มันก็มากมายเกินความจำเป็นไปนานแล้ว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี