ท่ามกลางความสับสนเรื่องการสรรหา กกต.ใหม่ และความคลุมเครือในการตีความเรื่องกฎหมายที่มาของ กกต.ที่ยังไม่มีที่สิ้นสุด นำมาซึ่งความคลางแคลงใจของประชาชนต่อความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลว่าจะเลือกตั้งตามที่กำหนดไว้หรือไม่? และกลายเป็นเชื้อเพลิงให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐนำมาโจมตีร่วมกับทยอยขุดคุ้ยประเด็นการทุจริตในรัฐบาลนี้ขณะที่การประกาศตัวชี้วัดจากองค์กรต่างๆ ก็พบว่า ไทยไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คาดหวัง ดูเหมือนสถานการณ์ของ คสช.จะเป็นรองให้กับฝ่ายตรงข้ามในตอนนี้หรือไม่?
ตลอด 2 เดือนหลังปีใหม่ที่ผ่านมา พบการเปิดประเด็นจากฝ่ายตรงข้ามจี้ให้รัฐบาลประกาศวันเลือกตั้งหนักขึ้นทุกที และพบกระบวนการที่สอดคล้องต้องกันตั้งแต่แกนนำพรรคจนถึงสื่อมวลชนสายแดงที่มีการขยี้ซ้ำ ประหนึ่งจัดเรียงประเด็นมาอย่างดี ล่าสุด เริ่มเปิดหัวแกนนำเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งมาประมาณหนึ่งแล้ว เสมือนต้องการบีบนายกฯพูดออกมาให้ได้ว่า จะมีการเลือกตั้งวันใด? การประกาศให้มีการเลือกตั้งมีผลอย่างไรต่อเกมการเมือง ต่อฝ่ายต่างๆและต่อประชาชน คสช.ต้องตั้งสติและคิดจุดนี้ก่อนตอบคำถาม ตลอดจนถึงแต่ละหมัดที่ฝ่ายตรงข้ามถล่มชกช่วงที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นผลจากสิ่งที่คสช.ทำ และข่าวที่เกิดขึ้นใหม่จากกระบวนการทางสื่อ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ควรคิดถึงด้วย
การประกาศล่าสุดของ Transparency International เมื่อ 26 ก.พ. ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปช่ันของโลกปี 2560(Corruption Perceptions Index) ดูเหมือนจะน่ายินดีที่ประเทศไทยได้ขยับอันดับขึ้นมาเป็นที่ 96 จากปีที่แล้วอยู่อันดับ 101 จาก 180 ประเทศ หรือตัวชี้วัดเรื่องการลงทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีตัวชี้วัดความทุกข์ยากต่ำที่สุดในโลกหรือเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดจากทั้งหมด 66 ประเทศ เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ด้วยคะแนน 2.5 โดยวัดจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ ดูเหมือนเป็นตัวเลขที่ดีทั้งหมด แต่ภายใต้ตัวเลขสวยงามนั้น เรื่องจริงเป็นอย่างไร?
กรณีดัชนีความโปร่งใสที่อันดับดีขึ้นแต่แท้จริงคะแนนเพิ่มขึ้นเพียง 2 คะแนน ขณะที่ย้อนหลังไป 2 ปี ไทยยังได้คะแนนมากกว่านี้ด้วยซ้ำ สรุปแล้วคะแนนก็ไม่ต่างกันในแต่ละปี ซึ่งตรงข้ามกับความคาดหวังของประชาชนที่ศรัทธารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ในประเด็นจุดแข็งที่สุดคือ ความซื่อสัตย์และความโปร่งใสมากกว่ารัฐบาลของนักการเมืองในสภาวะปกติ นอกจากนี้การเปิดเผยของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยระบุว่า หลังปี 2558 ยังพบมีการจ่ายใต้โต๊ะอยู่เช่นเคย และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่าปีละ 100,000-200,000 ล้านบาท? ไม่ว่าตัวเลขจะน้อยกว่าหรือเท่ากับยุคที่มีนักการเมืองอยู่ แต่ความเสียหายมูลค่าขนาดนี้ย่อมเป็นจุดที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามนำมาผสมโรงโจมตีร่วมกับกรณีความสงสัยการทุจริตต่างๆ ของคนในรัฐบาลนี้ ประกอบกับพื้นฐานเครือข่ายความสัมพันธ์ของสื่อกับรัฐบาลชุดนี้อ่อนด้อยมากเมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้ามรัฐ โดยเฉพาะช่วงปีที่ผ่านที่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นของหลายสื่อ ทั้งทีวีดิจิทัล หนังสือพิมพ์ ซึ่งจะพบความเปลี่ยนแปลงของการนำเสนอข่าวแตกต่างจากเดิม สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น โปรดไปสังเกตให้ดี
ตัวเลขเศรษฐกิจรวมที่รัฐบาลพยายามอ้างว่า ดีขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะเรื่องการย้ำจีดีพีที่โตขึ้นจาก 3.5% เป็น 3.7%ในปีล่าสุด พร้อมกับหลายฝ่ายพยายามจะพูดถึงข่าวดีของประเทศไทยอย่างโครงการ EEC ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น อาทิ การจัดอันดับของเจโทรที่ระบุว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจเพิ่มขึ้นจากระดับ 14 เป็น 29 หรือปรับเพิ่มขึ้น 15 ระดับ แต่จะมีใครรู้ว่าจีดีพีสูงขึ้นนี้ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง? เมื่อย้อนดูตัวเลขจีดีพีสูงขึ้น สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประชาชนจริงหรือไม่? พบว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ ด้วยเม็ดเงินมหาศาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการเมกะโปรเจกท์ (ที่ยังไม่เกิด) และโครงการใช้จ่ายกึ่งประชานิยม ในขณะที่การเติบโตของบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ไทย นั่นคือคนรวยในประเทศได้รวยขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา
แต่ตัวเลขทั้งหมดสะท้อนความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนตั้งแต่ฐานรากจนถึงชนชั้นกลางจริงหรือไม่? การสำรวจข้อมูลล่าสุดจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพบว่า ประชาชนยังคงมีหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ปีที่ผ่านมาเรามีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นถึง 91.1% สูงสุดในรอบ 10 ปี ตัวเลขนี้นำมาซึ่งข้อมูลพื้นฐานให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปเป็นประเด็นบดขยี้รัฐบาลจนถึงวันนี้ ผ่านทางสื่อและเครื่องมือของสื่อฝ่ายตรงข้ามรัฐที่เหนียวแน่นเข็งแกร่งกว่าภาครัฐ ขณะที่ทีมประชาสัมพันธ์ของภาครัฐกลับเพิกเฉยที่จะตอบคำถามว่าข้อเท็จจริงแล้วหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นและบ่มเพาะสะสมตั้งแต่ในยุคสมัยใคร? แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนี้ครัวเรือนจำนวนไม่น้อยเกิดขึ้นจากการบริหารนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาลปัจจุบัน ทั้งนโยบายเกษตรและนโยบายราคาสินค้าเกษตรขณะที่การจัดการกับการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของผู้ค้ารายใหญ่และรายเล็ก ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ด้านโครงการชูโรงรัฐบาลอย่าง EEC -เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่คาดหวังเป็นจุดขายดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาสร้างรายได้ ให้คนในพื้นที่นั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? ในด้านกฎหมาย จริงหรือไม่ว่าตั้งแต่ร่างแรกจนร่างล่าสุด มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง? โดยเฉพาะประเด็นการให้สิทธิคนในพื้นที่ ใช่หรือไม่? ซี่งดูเหมือนแก้ไขฉบับสุดท้าย สิทธิพิเศษที่ให้คนพื้นที่ก่อนจะหายไป? ขณะที่สิทธิของนักลงทุนภายนอก ดูจะเอื้อให้มากกว่ากฎหมายปกติด้วยซ้ำ หรือไม่? อาทิ สิทธิการซื้อขายที่ดินสำหรับนักลงทุนและชาวต่างชาติ รวมถึงเรื่องที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตุทั้งผังเมือง สิ่งแวดล้อม ที่ไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์ตามกฎหมายปกติ ใช่หรือไม่?ตลอดจนข่าวลือการให้ประโยชน์แก่บริษัทอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ได้มีพื้นที่โซนตัวเองในเขต EEC ตั้งแต่ก่อนเปิดโต๊ะเป็นทางการ ใช่หรือไม่?
เหล่านี้ถ้าเป็นเรื่องจริง อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน ตลอดจนแรงต่อต้านจากคนในพื้นที่ ที่ควรจะได้สิทธิร่วมพิจารณาหรือสิทธิพิเศษบางอย่าง ในฐานะเจ้าของพื้นที่เดิม ก่อนที่จะถูกแลกมาด้วยการเวนคืนที่ดินมหาศาล พร้อมกับการเข้ามาของตลาดแรงงานคนต่างถิ่น รวมถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่อาจเปลี่ยนไป เรื่องนี้แม้อาจเป็นประโยชน์หลายด้านต่อประเทศและแม้ยังตอบไม่ได้ว่า เป็นปัญหากับคนในพื้นที่ แต่ประเด็นสำคัญคือการสะท้อนจุดด้อยของรัฐบาล เรื่องการไม่ฟังเสียงประชาชน หรือฟังแต่นายทุนใหญ่เป็นหลัก ให้ภาพนี้ชัดขึ้นไปอีก
และอีกโครงการหนึ่งคือโครงการประชารัฐที่ทุ่มเงินมาแล้ว 2 รอบ ครั้งแรกแจกเงินกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ก็ไม่มีใครคัดค้าน แต่คุ้มค่าหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง? แต่ครั้งที่สองที่เอาเงินไปลงทุนต่างๆ ผลเป็นอย่างไร? ทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถเห็นได้ อย่างตลาดประชารัฐที่ลงทุนทำตลาดให้พ่อค้าไปจับจองพื้นที่ขายของ แต่ปัจจุบันไม่ต่างจากตลาดร้าง เพราะทำตลาดไม่ได้มาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่แท้จริง ซึ่งยิ่งสร้างความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาล คสช.เพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่หลังบ้านรัฐบาลก็ดูเหมือนจะมีปัญหามากขึ้นทุกวัน ข้อมูลหลุดรั่วไปถึงฝ่ายตรงข้าม จนเกิดประเด็นมากมาย ทั้งที่ถูกสร้างขึ้นและต้องยอมรับว่าบางส่วนก็เป็นเรื่องจริง อย่างประเด็นการทุจริตที่มีให้เห็นบ้างแล้ว หรือกรณีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของรัฐต่อการจัดการปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะล่าสุดกรณีบุกรุกป่า แม้มีประเด็นไม่เยอะมาก แต่กลับบดบังประเด็นผลงานเด่นของรัฐบาลที่มีมาก่อนหน้าเรื่องปราบทุจริตโดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งเรื่องจัดการวัดพระธรรมกาย การปราบอิทธิพลบ่อน ยาเสพติด ที่ตำรวจจัดการไม่ได้ หรือปราบปรามผู้มีอิทธิพลอีกหลายราย อันเนื่องมาจากความคาดหวังและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลเรื่องการปราบปรามทุจริต ที่มองว่าต้องเหนือกว่ารัฐบาลจากพรรคการเมือง เช่นเดียวกับตัวเลขความโปร่งใสที่คาดหวังว่าจะดีขึ้นมากกว่านี้
สิ่งที่รัฐบาลควรต้องคิดตั้งสติให้ดีมากกว่าการเดินตามเกมฝ่ายการเมือง ก็คือ จัดการปัญหาหลังบ้านตัวเอง เอาความเด็ดขาดและความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมา ด้วยการจัดการคดีให้เห็นเป็นแบบอย่าง ทั้งคดีที่ท้าทายกระบวนการยุติธรรมปัจจุบัน และใช้โอกาสนี้ เร่งดำเนินคดีทุจริตที่ค้างคาอยู่ของระบอบทักษิณที่ยังเหลืออีกนับ 10 คดี? ให้จบสิ้นตามกระบวนการก่อนหมดอายุความ อนึ่ง ปัญหาท่ีเกิดจากหลังบ้านอีกอย่างหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ ลองไปตรวจสอบดูว่า ขุนพลคนใดเริ่มมีใจออกห่าง หรือต่อสายเชื่อมโยงกับฝ่ายตรงข้าม
หรือไม่? ข้อมูลหลุดรั่วที่เกิดขึ้น ตลอดจนถึงการทำงานที่ล่าช้าอย่างผิดสังเกตในบางกระทรวง คิดหรือไม่ว่า เกลือเป็นหนอน?
เร่งปรับเปลี่ยนขุนพลตั้งแต่ระดับเสนาบดีจนถึงข้าราชการระดับสูง เพื่อเร่งสร้างผลงานให้ทัน เปลี่ยนจากฝ่ายตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุก แล้วเปลี่ยนจากผู้แข่งขันทางการเมืองกลับมาเป็นกรรมการอย่างที่ประชาชนคาดหวัง ก่อนส่งไม้ต่อให้พรรคการเมืองและสร้างความศรัทธาให้ประชาชนกลับคืนมาอีกครั้ง...
“...แต่ละบุคคลมีสิทธิ์ปกปิดความลับของตนเอง
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่บังอาจจาบจ้วงล้วงถามได้...”
คำคมโกวเล้งจากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี