เหตุการณ์คุณป้ารำขวาน สะท้อนให้เห็นความไม่เอาไหนของผู้คุ้มกฎ จนกระทั่งเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ปกติที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย แต่ที่น่าประหลาดใจอย่างหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดในสถานการณ์ไม่ปกติของประเทศไทยที่มีองค์อธิปัตย์ประกาศจะปฏิรูปสังคมในทุกด้าน
เป็นเวลาเกือบสี่ปีแล้วที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติภายใต้การนำของผู้บัญชาการทหารบก (ซึ่งปัจจุบันได้เกษียณอายุแล้ว และเปลี่ยนฐานะเป็นนักการเมืองอาชีพแล้ว) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศจะปฏิรูปประเทศและได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว แต่ยังอีกไกลที่จะสะเด็ดน้ำ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูประบบราชการ ประเภทเช้าชามเย็นชามยังปรากฏอยู่ทั่วไปในวงราชการ
เรื่องคุณป้าทั้งสอง (ซึ่งเทียบกับบรรดาคณะรัฐมนตรีแล้วยังละอ่อนกว่า) ที่ไม่สามารถทนระบบราชการได้(เพราะทนมาเกือบ 10 ปี) จำเป็นต้องใช้ “หลักกู”จัดการผู้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของตน ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำครั้งนี้ แทนที่สังคมจะประณามว่า ทำลายสิ่งของของผู้อื่นตามกฎหมาย แต่สังคมกลับเห็นด้วยกับการกระทำและเกิดปรากฏการณ์ตื่นตัวของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและสังคม ถือได้ว่า เป็นคุณูปการต่อสังคมไทยอย่างไม่คาดคิด เพราะได้เรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบของทุกระดับตื่นตัวต่อเหตุการณ์
พฤติกรรมของผู้รับผิดชอบต่อท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานท้องถิ่นใดๆ ในกรุงเทพมหานครก็ตาม (อาจรวมทั้งท้องถิ่นอื่นๆทั่วประเทศด้วย) การทำหน้าที่ไม่ว่าเรื่องการละเลยในการควบคุมภายใต้อำนาจของตน เช่น เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดสวนหลวง ร.9 เพราะการไม่เอาใจใส่ของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบก็ดี การทำความสะอาดท่อระบายน้ำก็ดี รวมทั้งการกวดขันเรื่องความสะอาด การเก็บขยะมูลฝอย ฯลฯ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบมักจะละเลยหรือทำแบบไม่เต็มใจ จะทำแบบผักชีโรยหน้าหรือเอาหน้า เช่น ถ้าถนนหรือซอกซอยที่มีผู้ยิ่งใหญ่อาศัยอยู่ จะได้รับความเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ถ้าบริเวณดังกล่าวผู้ใหญ่หมดอำนาจ ก็จะถูกละเลยเช่นประชาชนทั่วไป
หรือบริเวณใดที่ผู้ร้องเรียนเดือดร้อน มีความเกี่ยวกันกับผู้มีอำนาจ ก็จะได้รับการจัดการดูแลอย่างรวดเร็วทันใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสภาพเลวร้ายก็จะกลับมาเหมือนเดิม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสังคมไทยมักจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งผิดกับสังคมที่เจริญแล้ว ผู้รับผิดชอบก็ดี ประชาชนก็ดี มีหน้าที่ดูแลปกป้องให้มีการปฏิบัติตามกฎกติกา ตัวอย่างเช่น ถ้ามีการทำผิดกติกา ประชาชนจะไม่นิ่งดูดายปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบแต่ผู้เดียว เช่น พื้นถนนเป็นความรับผิดชอบของตำรวจทางเท้าเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเทศกิจ เราจะพบว่าเมื่อเทศกิจไล่ไม่ให้วางของบนทางเท้า ผู้ค้าขายก็จะเอาของไปวางบนถนน และเมื่อตำรวจมา ก็ยกกลับขึ้นบนทางเท้าอีกเหมือนการกระทำที่เรียกว่า “โปลิศจับขโมย” ซึ่งผิดกับสังคมที่เจริญแล้ว ประชาชนจะไม่นิ่งดูดายให้มีการกระทำเช่นนี้
สรุปรวมความว่า ทั้งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบทุกฝ่ายและประชาชนจะไม่นิ่งดูดายให้มีการกระทำผิดเกิดขึ้น แต่สังคมไทยเป็นสังคมอภิชนาธิปไตย คือ ใครใหญ่ด้วยอำนาจหรือเงินตราจะเป็นใหญ่ดังที่กล่าวว่า “คุกมีไว้สำหรับขังคนจน” ตัวอย่างที่เห็นๆไม่ว่าคำพูดที่เป็นอมตะว่า “มึงรู้ไหมว่ากูลูกใคร” ก็ดี กรณี “กระทิงแดง”ก็ดี รวมทั้งการล่าสัตว์ที่ป่า “เซซาโว” ทั้ง 2 ครั้งเมื่อ พ.ศ. 2516 และ พ.ศ. 2561 ก็เกิดจากอภิสิทธิ์ชนทั้ง “ฝ่ายการเมือง” และ “นักธุรกิจใหญ่”
สรุปได้ว่า สังคมไทยเป็นไปตามสุภาษิตจีนที่ว่า “เงินจ้างผีให้โม่แป้งได้” และสุภาษิตไทยที่ว่า “แข็งเท่าแข็ง เงินง้างอ่อนได้ดังประสงค์” รวมทั้งสุภาษิตที่ว่า “ธุระไม่ใช่” ด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี