๑ มีนาคมปีนี้ตรงกับขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ วันมาฆบูชาวันสำคัญสำหรับชาวพุทธทั่วโลกที่เชื่อกันว่าได้เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ที่พระสงฆ์สาวกพระพุทธเจ้า๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธองค์ ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกัน พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ และพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้นซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหาโดยสรุปคือ ให้ละความชั่วทุกชนิด ทำความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส
สำหรับชาวพุทธในประเทศไทยนอกจากเข้าวัดทำบุญ ละความชั่วทุกชนิด แล้ว ๑ มี.ค.นี้ เป็นวันแรกที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดให้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย ไร้เสถียรภาพทางการเมืองและชะลอเรื่องปฏิรูปเพราะ ๘๓ ปี หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยได้จัดตั้งพรรคการเมืองมาแล้วกว่า ๓๐๐ พรรค และเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของพรรคการเมืองเหล่านั้น คือต้นเหตุของความวุ่นวาย เพราะไม่ได้ตั้งพรรคด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย แต่เป็นพรรคเฉพาะกิจจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับหัวหน้าพรรคหรือเพื่อสนับสนุนคนใดคนหนึ่งเป็นผู้นำรัฐบาล หรือไม่ก็เพื่อได้เป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล
และร้อยละเก้าสิบของพรรคเหล่านั้น จึงล้มหายตายจากไปหลังการเลือกตั้งไม่เกินสองสมัย นั้นคือเหตุปัจจัยว่า ทำไมการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และ สังคมของไทยจึงไม่ต่อเนื่องเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่นักวิชาการมักยกตัวอย่างมาเป็นต้นแบบ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย จีน สปป.ลาว และ เวียดนาม สำหรับจีน เวียดนาม และ สปป.ลาว นั้นไม่อาจนำมาเทียบเคียงได้ เพราะประเทศเหล่านั้นมีพื้นฐานมาจากการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ที่มีพรรคเดียวผูกขาดทางการเมือง จึงสามารถวางแผนสร้างบุคลากร และพัฒนาเศรษฐกิจ การเมืองสังคมระยะยาวได้
เพื่อนบ้านที่เป็นประชาธิปไตยอย่าง สิงคโปร์ และมาเลเซีย สามารถวางแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมระยะยาวได้ เพราะพวกเขาได้จัดตั้งพรรคการเมืองถาวรยั่งยืนได้ตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านแปงเมือง นายลี กวน ยู บิดาแห่งชาติสิงคโปร์ ได้สร้างพรรคกิจประชาคม และผูกขาดอำนาจบริหารประเทศมาตลอดเวลากว่าห้าทศวรรษ ประเทศมาเลเซีย พรรคการเมือง 13 พรรค รวมกันเป็น พรรคอัมโนอย่างเหนียวแน่นและผูกขาดเป็นรัฐบาลบริหารประเทศตั้งแต่พ.ศ.2500 ไม่เคยเปลี่ยนพรรคเลย นั้นคือเหตุผลสำคัญที่ประเทศเพื่อนบ้านเราพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง เพราะบุคลากรทางการเมืองเขาทำงานการเมืองกันอย่างจริงจัง ซึ่งต่างกับบ้านเรา ที่เล่นการเมืองมากกว่าทำงานการเมือง
เราจึงเห็นว่าทุกครั้งที่มีตัวเอกในละครการเมืองคนใหม่ ปรากฏตัวขึ้น จะมีพรรคใหม่ๆเกิดขึ้นมารองรับ ปัจจุบันมีพรรคการเมืองอยู่แล้ว 69 พรรค ณ วันที่ ๑ มี.ค.มีผู้แสดงเจตจำนงจะตั้งพรรคการเมืองแล้ว 23 กลุ่ม หมายความว่า เลือกตั้งครั้งต่อไปเราอาจมีพรรคการเมืองเกือบ 100 พรรค และในจำนวนนี้มี กว่า 10 พรรคที่มีนโยบายสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นผู้นำรัฐบาลต่อไปหลังจากการเลือกตั้ง
นี้คือพฤติกรรมส่วนใหญ่ของนักเล่นการเมืองในบ้านเรา เน้นว่าส่วนใหญ่ไม่ได้หมายถึงนักการเมืองทุกคน เรายังมีนักการเมืองน้ำดีมีคุณธรรม มีความสุจริตโปร่งใส กราบไหว้ได้สนิทใจอีกมากมาย แต่ท่านเหล่านั้นไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่เหมือนกับนักเล่นการเมืองที่มีอยู่ดาษดื่น โดยเฉพาะนักเล่นการเมืองที่เกิดดังขึ้นมาจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง สิ่งแรกที่นักเล่นการเมืองเหล่านี้นึกได้คือตั้งพรรคการเมืองเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็แยกตัวจากพรรคเก่าเพื่อมาตั้งพรรคใหม่เป้าหมายได้เป็นรัฐมนตรีหรือได้สนับสนุนนายกฯคนต่อไป
ติดตามข่าวการเมืองสี่สิบปีที่ผ่านมาพบว่า ผู้ที่แยกตัวไปตั้งพรรคใหม่ ไม่ประสบความสำเร็จสักราย พรรคที่แยกไปจากประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชากรไทย พรรคประชาชน พรรคมวลชน หรือพรรคมหาชน ฯลฯ ล้มเหลวทุกราย สุดท้ายถูกดูดเป็นบริวารทุนสามานย์ปล้นชาติ บางคนถึงได้เป็นใหญ่ก็เป็นได้แค่หุ่นเชิด แม้แต่นายบุญชู โรจนเสถียร ซาร์ด้านเศรษฐกิจแต่พอแยกออกจากพรรคกิจสังคม ไปตั้งพรรคกิจประชาคม ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผ่านมาน่าจะเป็นบทเรียนแก่ผู้ที่คิดจะตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนใครสักคนเป็นนายกรัฐมนตรีว่าการทำตัวเป็นนั่งร้านไม่นานก็ถูกรื้อทิ้ง
โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเนื้อหอมอย่างพลเอกประยุทธ์นั้นมีนักเล่นการเมืองเตรียมจะเป็นฐานรองรับให้กันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนครปฐม กลุ่มสุพรรณบุรี กลุ่มชลบุรี กลุ่มสุโขทัย กลุ่มบุรีรัมย์ กลุ่มอดีต สว. และถ้าเพิ่ม กลุ่มกำนันเข้าไปอีก บอกได้ว่า การเมืองหลังเลือกตั้งจะสับสนวุ่นวายเรื่องปฏิรูปเรื่องพัฒนาประชาธิปไตย จะถูกดองไว้ไม่มีใครพูดถึง พลเอกประยุทธ์ฝันหวานว่าเลือกตั้งครั้งต่อไปได้คนรุ่นใหม่มาร่วมงานช่วยพัฒนาบ้านเมือง แต่ดูจากหน้าตาที่โผล่ออกมาบอกว่า “เป็นกองหนุนลุงตู่” แล้วไม่เห็นแววคนรุ่นใหม่อย่างในฝัน
มองจากความเคลื่อนไหวทั่วไปทำนายว่า การเมืองหลังจากเลือกตั้งจะวุ่นวายถ้วนหน้า เกินปัญญาที่บารมีพลเอกประยุทธ์ จะรับไหว ถ้าอยากรู้ว่านักเล่นการเมืองเลวร้ายเพียงใดให้ไปอ่านหนังสือเรื่อง “รัฐบุรุษชื่อ เปรม”ในตอนหนึ่งได้บันทึกความในใจ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ว่า “ผมเองรู้สึกว่าเป็นเวรกรรมของผมที่ต้องมารับตำแหน่งอันต้องแบกภาระหนักหน่วงที่สุด ผมไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเองเลย จะมีบ้างก็แค่เวลานอนเท่านั้น แต่บางครั้งที่นอนอยู่ดีๆกลับถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาทำงานอีกทำให้ผมแปลกใจว่าทำไมใครๆ ถึงอยากเป็นนายกรัฐมนตรีกันเหลือเกิน ทั้งๆ ที่มันไม่เห็นจะสบายตรงไหนเลย”นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ท่านเผยความในใจต่อคนใกล้ชิดในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งคณะกรรมการราชตฤณมัยจัดขึ้นเป็นการภายใน
พลเอกเปรม ถูกนักการเมืองก่อกวนตั้งแต่วันแรกที่แถลงนโยบาย จนเกิดความวุ่นวายในสภาแต่ท่านเก็บอารมณ์และความรู้สึกได้ เมื่อเผชิญกับนักข่าวท่านพูดสั้นๆว่า “เหตุการณ์วุ่นวายบานปลายบางประการที่เกิดขึ้นผมจะขอเรียนรู้ต่อไป” ที่เกิดความวุ่นวายวันแถลงนโยบาย เพราะมีความเห็นไม่ตรงกันระหว่างคณะที่ปรึกษานายกฯ รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลที่พรรคกิจสังคมต้องการตั้งบรรษัทรวมไทย (Thailand INC) แต่ที่ปรึกษานายกฯกับพรรคชาติไทยซึ่งเป็นพรรคร่วม ไม่เห็นด้วย นักเล่นการเมืองปากชักยนต์เลยฉวยโอกาส ยั่วยุก่อกวนนายกฯจนเกิดความวุ่นวายขึ้น
จากความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลตั้งแต่ต้นนำไปสู่วิกฤติเมื่อรมต.พรรคชาติไทยไปทำสัญญาซื้อน้ำมันจากซาอุฯ ในวันเดียวกัน รมช.จากพรรคกิจสังคมไปเจรจาซื้อน้ำมันจากอินโดนีเซีย จนเกิดเหตุ “เทเล็กซ์น้ำมันอัปยศ” ผลสุดท้ายพรรคกิจสังคมถอนตัวจากรัฐบาลเปรม ๑ ความขัดแย้งนักการเมือง ทำให้ต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนชักเข้าชักออกกันใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล มีแต่ประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียวที่เหนียวแน่นอยู่กับรัฐบาลพลเอกเปรม ตลอดเวลากว่าแปดปี
ความขัดแย้งในพรรคร่วมเวลานั้น มีตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง จนนำมาสู่การปรับครม.ครั้งแรกเดือนมี.ค.2524 และตามมาด้วยการปราบ ขบถเมษาฮาวายวันที่ 1-3 เม.ย.ปีเดียวกัน หนังสือเรื่อง “รัฐบุรุษชื่อ เปรม” บันทึกไว้ว่าพันเอกมนูญ รูปขจร บอกพลเอกเปรม ว่า “ต้องยึดอำนาจเพราะป๋า ตั้งคนไม่ดีเป็นรัฐมนตรี” จนวันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า มูลเหตุปฏิวัติล้มเหลวครั้งนั้นคืออะไร เพราะความขัดแย้งที่เกิดจากนักเล่นการเมือง ทั้งในพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทำให้พลเอกเปรม ต้องปรับ ครม.ถึง 5 ครั้ง ปราบขบถสองครั้งคือ เมษาฮาวาย 2524 และ 9 ก.ย. 2528 ที่ฝ่ายปฏิวัติล้มเหลวอ้างว่าทำ “เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง” ที่น่าสังเกตคือการก่อขบถทั้งสองครั้งมีนักเล่นการเมืองหนุนหลังและร่วมก่อขบถด้วย พลเอกเปรมเป็นผู้สัตย์ซื่อมือสะอาด รักชาติศาสนา เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด ที่ต้องใช้ทั้งบารมี พระเดช พระคุณเพื่อประคับประคองรัฐบาล สร้างความโชติช่วงชัชวาลได้กว่าแปดปี ทั้งๆ ที่ถูกนักเล่นการเมืองก่อกวนตั้งแต่วันแถลงนโยบายในสภา
พลเอกประยุทธ์ถูกนักเล่นการเมืองสมุนบริวารทุนสามานย์ปล้นชาติก่อกวน ขณะมีอำนาจเด็ดขาดยังรับมือแทบไม่ไหว หลังการเลือกตั้งถ้ามีนักเล่นการเมือง เสือสิงห์กระทิงแรดอยู่รอบกาย ถ้าไม่เกิดความวุ่นวาย ไม่ใช่การเมืองไทยแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี