วันนี้ขอนำเสนอเนื้อหารายละเอียดเชิงลึกว่าด้วยพลังงานและพลังงานทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่ถ่านหิน
แน่นอนครับ พลังงานแสงอาทิตย์คือเทรนด์หลักในอนาคตเพราะต้นทุนเทคโนโลยีที่จะถูกลงมากในอนาคตอันใกล้
คุณกรณ์ จาติกวณิช ประธานกรรมการนโยบายประชาธิปัตย์ ได้โพสต์คำแถลงและร่างคำอธิบาย พร้อมการคำนวณไว้ดีงต่อไปนี้ครับ...
ขนาดทีวีช่อง 3 ยังถูก “disrupt” จนแทบไม่เหลือกำไร ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศปิดสาขากว่าครึ่ง อีกอุตสาหกรรมที่ผมเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างคือ“พลังงาน”
เทคโนโลยีทำให้เรา(ประชาชน) เปลี่ยนจากการเป็นผู้บริโภค มาเป็นผู้ผลิต (เด็กแนวบางคนเริ่มเรียกว่าจาก consumerเป็น prosumer (pro จากคำว่า produce ที่แปลว่า ผลิต)
ในอุตสาหกรรมพลังงานในต่างประเทศ ความเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มปรากฏชัด เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (ไทยเราก็เริ่มมี แต่ยังติดเงื่อนไข “โควตา”) ทำให้ทุกครัวเรือนที่มีหลังคาสามารถเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าได้ และเริ่มมีการประยุกต์ใช้ blockchain ในการออกแบบระบบซื้อขายพลังงานระหว่างกัน โดยในอนาคตอาจจะต้องพึ่งผู้ขายและผู้ผลิตส่วนกลางน้อยลง
ทั้งหมดคือสาเหตุสำคัญที่ผมเห็นด้วยกับท่านรัฐมนตรีพลังงานคนใหม่ที่ตัดสินใจ (ยัง) ไม่เดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินตามที่ฝ่ายราชการ และ กฟผ. พยายามผลักดัน
เพราะนอกจากเป็นที่มาของมลพิษแล้ว ไฟฟ้าจากถ่านหินจะมีต้นทุนที่ถูกกว่าแหล่งอื่นจริง ก็ต่อเมื่อมีการผลิตเต็มกำลังต่อเนื่องอย่างน้อย 30 ปี (เพื่อให้คุ้มค่าก่อสร้าง)
ซึ่งการผลิตโรงไฟฟ้าถ่านหินเต็มกำลังเป็นระยะเวลายาวนานขนาดนั้นคือ สมมุติฐานว่า เทคโนโลยีจะไม่พัฒนาอีกเลย
ใครเชื่ออย่างนั้นบ้าง?
ต่อคำถามว่า แล้ว 5-10 ปีข้างหน้านี้ (ที่อาจจะยังต้องพึ่งพาแหล่งผลิตขนาดใหญ่) หากไม่มีถ่านหินเราจะพึ่งแหล่งไฟฟ้าอะไร
ผมและทีมนโยบายประชาธิปัตย์ก็ได้เสนอแนวคิดมากว่าปีหนึ่งแล้วว่า...เราควรพิจารณาการผลิตไฟฟ้าโดยอาศัยก๊าซ LNG
ซึ่งในระยะสั้นอาจจะแพงกว่าถ่านหินเล็กน้อย (แต่ไม่มากหากพิจารณาข้อเท็จจริงว่าค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า LNG ถูกกว่าค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินถึงครึ่งหนึ่ง) แต่โรงก๊าซปรับกำลังการผลิตได้ยืดหยุ่นกว่าโรงถ่านเยอะ และมีผลต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่ามาก
มีหลายคนที่สนใจเรื่องนี้ และสนใจรายละเอียดการคำนวณเปรียบเทียบ ผมเลยขอเสนอพอประมาณ ดังต่อไปนี้ครับ
ผู้สนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินมักจะอ้างถึง :
1.ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ถูกกว่า
2.การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนที่สูงเกินไป
3.ความไม่เสถียรของพลังงานหมุนเวียน
ทั้งสามเหตุผลมีนํ้าหนักในระดับหนึ่ง แต่มีข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งทำให้ความเหมาะสมในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินหมดไป เช่น
1.หากเทียบกับก๊าซ LNG ต้นทุนการผลิตด้วยถ่านหินจะต่ำกว่า แต่ไม่มาก และจะตํ่ากว่าหากมีการผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินประมาณ 80-85% ของกำลังผลิตเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 30 ปีขึ้นไป
2.ปัจจุบันเราพึ่งพาก๊าซจากพม่าและอ่าวไทยมากเกินไปจริง แต่ LNG มีแหล่งจากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งหลากหลายกว่าแหล่งที่มาของถ่านหินที่ต้องนำเข้าเช่นกัน
3.ความเสถียรของพลังงานหมุนเวียนมีปัญหาจริง แต่เทคโนโลยีดีขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผลกับทั้งความมั่นคงและราคา เชื่อได้ว่า ใน 5-10 ปีข้างหน้า ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนจะสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ข้อศึกษาในรายละเอียดตามนี้...
1.ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ถูกกว่า LNGเพียงประมาณ 50 สตางค์ต่อหน่วยเท่านั้น
วิธีการคำนวณ
LNG fuel cost calculations:
((65$/barrel x 0.12)+0.8 $/mmBTU) x 6,500 BTU/kwh x 1x10-6 = 0.056 $/kwh = 1.764Baht/kwh (@ 31.5 Baht/$)
Coal fuel cost calculations:
(105+7) $/ton x (1/6,300,000) t/kCal x 1/4 kCal/BTU x 1x106 = 4.44 $/mmBTU
4.44 $/mmBTU x 8,500 BTU/kwh x 1x10
2.สัดส่วนการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าจะลดน้อยลงเนื่องจาก ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนจะมาแทนที่มากยิ่งขึ้น
ในอนาคตอันใกล้ ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน (พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล ฯลฯ) จะลดลงและจะถูกกว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากทั้งถ่านหิน และ LNG ดังนั้น การใช้ไฟฟ้าของประเทศน่าจะมาจาก พลังงานทดแทนทำให้เรียกใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน และ LNG น้อยลงสรุปได้ว่าต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ถูกกว่า ต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า LNG เพียง 0.575 บาทต่อหน่วย และถ้าตลอดระยะเวลา 30 ปีและเดินเครื่องการผลิต 85% จะประหยัดไป 68,875 ล้านบาท(มูลค่าของเงินในปัจจุบัน)
3.ต้องดูต้นทุนการก่อสร้างและระยะเวลาการก่อสร้างด้วย
4.เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และ ปัญหาต่อชุมชน
4.1 เทคโนโลยี
เทคโนโลยีในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วโรงไฟฟ้าที่สร้างขึ้นในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน หรือก๊าซ เป็นเทคโนโลยีเก่าซึ่งจะมีประสิทธิภาพและสมรรถนะน้อยลงไปในอนาคตอันใกล้ ในขณะเดียวกัน ต้นทุนก็สูงมาก เทคโนโลยีสมัยใหม่อาจจะมาพร้อมทั้งราคาที่ถูกลง การลงทุนสูงในสภาวะที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วนั้น ไม่น่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ นอกจากนี้ ถ้าคิดว่าในอนาคตโรงไฟฟ้าเทคโนโลยีเก่าที่มีอยู่ จะได้เป็นเพียงโรงไฟฟ้าสำรอง เมื่อไฟไม่พอใช้นั้น โรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมที่ จะเป็นโรงไฟฟ้าสำรองเพราะความสามารถในการเริ่มหรือเร่งการผลิต จะช้ากว่าโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื่อเพลิงก๊าซ
สำหรับเทคโนโลยีด้านการกักเก็บพลังงาน ได้พัฒนามาเร็วมาก (ประเทศออสเตรเลียได้สร้างโรงเก็บพลังงานไฟฟ้าแล้ว)ดังนั้นบทบาทของโรงไฟฟ้าสำรองก็จะยิ่งน้อยลง
4.2 สิ่งแวดล้อม
ผลกระทบที่โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงถ่านหินมีต่อสิ่งแวดล้อม โดยปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้าถ่านหินปล่อยออกมา คิดเป็นสองเท่าของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้า LNG ปล่อยออกมาสู่สิ่งแวดล้อม
4.3 ปัญหาต่อชุมชน
การก่อสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิง LNG ใช้ที่ดินในการก่อสร้างเพียง 10% ของที่ดินที่ใช้สำหรับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงถ่านหิน โรงไฟฟ้า LNG จะรบกวนชุมชนน้อยกว่า และไม่ก่อให้ปัญหาต่อชายฝั่งสำหรับการขนย้าย และจัดเก็บถ่านหิน รวมทั้งเถ้าของถ่านหินที่ใช้แล้ว
โดยสรุปคือ ณ เวลาช่วงในช่วงหนึ่ง ข้อมูลและเหตุผลในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะต้องตัดสินใจแตกต่างกัน ณ ตอนนี้ ปัจจัยต่อการตัดสินใจของผู้มีอำนาจเป็นแบบนี้ก็ต้องก้าวทันยุคสมัยและข้อมูลใหม่ๆ อนาคตเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอีกแค่ไหนก็ต้องศึกษาและตามให้เท่าทัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี