ปี่กลองบรรยากาศเลือกตั้งเริ่มกลับมาคึกคักหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศมานาน 4 ปี โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เริ่มเปิดให้บรรดาพรรคการเมืองมาจดทะเบียนตั้งพรรคได้ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 31 มี.ค. ซึ่งปรากฏว่ามีพรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ทยอยยื่นจดทะเบียนพรรคการเมืองในวันแรกกันอย่างคึกคักราว 30 พรรค
ในบรรดาพรรคการเมืองที่มาจดทะเบียนจัดตั้งพรรคหลายพรรคแสดงจุดยืนทั้งที่ชัดเจนหรือมีแนวโน้มเอียงไปในทางสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชนปฏิรูปที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นหัวเรือใหญ่ พรรคเพื่อชาติไทยที่นำโดย นางอัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร ภรรยาของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หรือ “บิ๊กจ๊อด” อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) หรือพรรคพลังธรรมใหม่ที่นำโดย นพ.ระวี มาศฉมาดล
ที่สำคัญและกำลังถูกจับตามากที่สุดคือพรรคมวลมหาประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือพรรคนกหวีดที่มี กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้นำมวลมหาประชาชน กปปส. เดินเกมอยู่หลังฉาก
ขณะเดียวกันก็มีนักวิชาการคนรุ่นใหม่สายเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งเตรียมลงทะเบียนจัดตั้งพรรคเช่นกัน
การที่พรรคการเมืองสมัครกันจำนวนมากโดยเฉพาะพรรคหน้าใหม่อย่าสบประมาทมองว่าเป็นพรรคประเภทไม้ดอกไม้ประดับแต่งแต้มสีสันให้กับการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมาบรรดาพรรคไม้ดอกไม้ประดับเหล่านี้มักจะไม่ได้ สส.แม้แต่คนเดียว เพราะวิธีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบสัดส่วนผสมออกแบบมาให้คะแนนทุกคะแนนของประชาชนมีความหมายต่อจำนวนสส.ที่แต่ละพรรคจะได้รับ ขณะเดียวกันก็กำหนดเพดานไม่ให้พรรคขนาดใหญ่ผูกขาดจำนวน สส.มากเกินไปเหมือนในอดีต ซึ่งด้วยวิธีการเลือกตั้งแบบใหม่จะทำให้ สส.กระจายไปยังพรรคขนาดเล็กและขนาดกลางมากขึ้น
โดยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งเพียง 1 ใบในบัตรสำหรับเลือกสส.แบบแบ่งเขตจำนวน 350 คน ซึ่งคะแนนเลือกสส.แบบแบ่งเขตจะถูกนำไปใช้คิดคำนวณหาสส.แบบบัญชีรายชื่ออีก 150 คนด้วย โดยสรุปการคำนวณ สส.ทั้ง 500 คนทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายได้ดังนี้คือ เริ่มจากการหาคะแนนเฉลี่ยต่อ สส. 1 คน ด้วยการนำคะแนนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกสส.จากทุกพรรครวมกันแล้วหารด้วยจำนวนสส.ทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎรคือ 500 คน ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาคือคะแนนเฉลี่ยต่อ สส.1 คน
ส่วนการหาจำนวน สส.ที่แต่ละพรรคจะพึงมีให้นำผลลัพธ์คะแนนเฉลี่ยสส.ต่อ 1 คน ไปหารกับคะแนนผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขตที่แต่ละพรรคได้รับจากทั่วประเทศ
สำหรับการหาจำนวนสส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้นำจำนวนสส.ที่แต่ละพรรคพึงมีลบด้วยจำนวนสส.แบบแบ่งเขตที่พรรคนั้นได้รับ โดยจำนวนสส.เขตของแต่ละพรรคจะเกินจำนวนสส.ที่แต่ละพรรคพึงมีไม่ได้เพื่อความยุติธรรมและให้ทุกคะแนนของประชาชนมีความหมาย
และอาจจะด้วยเหตุนี้ที่มีรายงานข่าวจากพรรคนกหวีดที่ประเมินว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าพรรคน่าจะได้สส.ประมาณ 30-50 เสียงเนื่องจากการเลือกตั้งระบบใหม่ทุกคะแนนมีความหมาย และจากการประเมินของหลายหน่วยงานชี้ว่าคะแนนเลือกตั้งราว 70,000-75,000 คะแนนจะได้สส.1 คน ดังนั้นหากดูตามฐานดังกล่าวต่อให้พรรคนกหวีดแพ้พรรคประชาธิปัตย์หมดในภาคใต้ แต่ถ้าแพ้โดยได้อันดับสองแล้วนำคะแนนไปรวมกับผู้สมัครคนอื่นๆทั่วประเทศก็เชื่อว่าพรรคน่าจะได้จำนวนสส.ตามเป้าที่ประเมินไว้
เพราะฉะนั้นเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยวิธีการเลือกตั้งแบบใหม่ พรรคใหญ่หมดสิทธิผูกขาดจำนวนสส. เหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆมา โดยจำนวนสส.จะกระจายไปยังพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้นแบบเบี้ยหัวแตก ทำให้มองเห็นภาพแนวโน้มรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ต้องเป็นรัฐบาลผสมแน่นอน และพรรคขนาดกลางและเล็กจะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลและมีอำนาจต่อรองมากขึ้น เพราะฉะนั้นเลือกตั้งครั้งหน้าเหนื่อยทั้งพรรคใหญ่และผู้ที่จะมาเป็นนายกฯคนต่อไป
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี