ไม่น่าเชื่อว่า โรงพยาบาลหรู ระดับพรีเมียม ก็มีปัญหากับผู้บริโภคได้เหมือนกัน
เกี่ยวกับโครงการดูแลสุขภาพของโรงพยาบาลหรู กำหนดให้สมาชิกต้องนำเงินเทียบเท่าทองคำน้ำหนัก 200 บาท มาชำระเพื่อจะได้รับสิทธิพิเศษและได้ใช้บริการรักษาพยาบาลไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตลอดชีวิต แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในอัตราสมาชิก 100 บาทต่อครั้ง
1. เมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง เพิ่งจะอ่านคำพิพากษา คดีดำหมายเลขที่ ผบ. 932 /2560 และ ผบ.5887/2560 ระหว่างนายอำรุง นางผุสนา และนายรุจิโรจน์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบกิจการ หรือ “โรงพยาบาลกรุงเทพ” เป็นจำเลย ในข้อหาผิดสัญญา ละเมิด และเรียกค่าสินไหมทดแทน กรณีทางโรงพยาบาลกรุงเทพบอกเลิกสัญญาโครงการไลฟ์พริวิเลจคลับ (Life Privilege Club) หรือยกเลิกสิทธิของสมาชิกในการรักษาพยาบาลฟรีตลอดชีพ โดยอ้างว่าเป็นสัญญาประกันภัย ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่มีใบอนุญาตทำธุรกิจประกันภัยนั้น
คดีนี้ ศาลแพ่งพิพากษาว่า “โครงการดังกล่าวไม่ใช่ธุรกิจประกันภัย จึงให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลง และเงื่อนไขของสัญญาโครงการไลฟ์พริวิเลจคลับ โดยเปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่โจทก์ต่อไป” แต่ในคดีนี้ โจทก์ คือ นายอำรุง นวราช ถึงแก่ความตายก่อนที่ศาลพิพากษา ศาลจึงมีคำสั่งให้จำเลยคืนเงินค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแก่โจทก์ที่ 1
รวมเป็นเงินประมาณ 737,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
พูดง่ายๆ ตัดสินให้โรงพยาบาลกรุงเทพเปิดให้บริการรักษาพยาบาลฟรีแก่จำเลยต่อไป เพราะจำเลยซึ่งเป็นผู้บริโภคนั้นได้จ่ายเงินนับล้านให้ทางโรงพยาบาล ทำสัญญาตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ตามคำโฆษณาเชิญชวนว่าจะให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ของโรงพยายาบาลเอง
คุณภาพในการรักษาพยาบาล ก็ต้องเหมือนเดิม
2. คดีแพ่งระหว่างผู้บริโภคกับโรงพยาบาลกรุงเทพ เกี่ยวกับการยกเลิกสิทธิของสมาชิกในการรักษาพยาบาลฟรีตลอดชีพ หรือโครงการไลฟ์พริวิเลจคลับ (Life Privilege Club)ข้างต้นนั้น ไม่ใช่คดีแรก
เฉพาะที่ศาลมีคำพิพากษา นับเป็นคดีที่ 5 แล้ว
คดีก่อนหน้านี้ที่ศาลแพ่งพิพากษาแล้ว เช่น คดีศาลแพ่ง คดีดำหมายเลขที่ ผบ.928, 929, 939, 940, 2504.2505/2560 คดีเกี่ยวกับโครงการไลฟ์พริวิเลจคลับของโรงพยาบาลกรุงเทพ กรณีโรงพยาบาลกรุงเทพบอกเลิกสัญญา พิพากษาให้จำเลยดำเนินโครงการนี้ต่อไปตามสัญญา ฯลฯ
ทุกคดีที่ศาลพิพากษาให้ฝ่ายผู้บริโภคชนะ ล้วนแต่ไปในทิศทางเดียวกัน คือชี้ว่า โครงการไลฟ์พริวิเลจคลับ (Life Privilege Club) ไม่ใช่ธุรกิจประกันภัย จึงให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงและเงื่อนไขของสัญญาโครงการ โดยเปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่โจทก์ต่อไป
ขณะเดียวกัน ยังมีผู้บริโภคอีกจำนวนมาก ที่ดำเนินการฟ้องร้องโรงพยาบาลกรุงเทพอยู่
น่าสงสัยว่า หากจริงใจกับผู้บริโภค ทำไมทางโรงพยาบาลจึงไม่ประกาศดำเนินโครงการไลฟ์พริวิเลจคลับ (Life Privilege Club) ต่อไป ตามเงื่อนไขสัญญาข้อตกลงเดิม
เพื่อมิผู้บริโภคต้องไปเสียเวลา เหน็ดเหนื่อย เสียความรู้สึก แทนที่จะต้องมารอคอยคำพิพากษาทีละคดีๆ ไป?
3. โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นกิจการของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ จำนวน 2,893,602,540 หุ้น (คิดเป็น 18.68%)
อย่าแปลกใจ... ที่สื่อทีวีดิจิตอล ช่องข่าว บางช่อง จะไม่ติดตามทวงถามผลประโยชน์ผู้บริโภคในคดีพวกนี้ (ดูชื่อเจ้าของ) แต่มุ่งนำเสนอข่าวกิจกรรมการเมืองของพวกอยากเลือกตั้งและดิสเครดิตรัฐบาล คสช. อย่างเอาจริงเอาจัง
จะว่าไปแล้ว กิจการของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ไม่ขี้เหร่เลย หากดำเนินการดูแลลูกค้าไปอย่างที่ควรจะเป็น ก็เชื่อว่าคงไม่ทำให้กิจการล้มละลายแน่นอน
ข้อมูลแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ระบุว่า
ปี 2557 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการฯ กำไร 7,393 ล้านบาท
ปี 2558 กำไร 7,917 ล้านบาท
ปี 2559 กำไร 8,386 ล้านบาท
ปี 2560 กำไร 10,215 ล้านบาท
น่าสนใจว่า ในรายงานของผู้สอบบัญชี ซึ่งได้ตรวจสอบงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 เสนอผู้ถือหุ้นของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการฯ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโครงการนี้เอาไว้ ในส่วนของ “ข้อมูลและเหตุการณ์ที่เน้น”
ระบุว่า “..บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีโครงการให้การรักษาพยาบาลโดยคิดค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยให้แก่สมาชิกที่ได้จ่ายค่าสมาชิกล่วงหน้าเป็นระยะเวลาตลอดชีพ ซึ่งบริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ยุติโครงการดังกล่าวแล้ว ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560 และ 2 กุมภาพันธ์ 2560 ตามลำดับ บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้บันทึกหนี้สินไว้ในงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 โดยถือตามตัวเลขจำนวนเงินที่คาดว่าจะจ่ายคืนและชดเชยให้แก่สมาชิกจากการยุติโครงการในปี 2560 เป็นจำนวนประมาณ 964 ล้านบาท (เฉพาะบริษัทฯ ประมาณ 820 ล้านบาท)
ซึ่งในระหว่างปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 สมาชิกบางส่วนในงบการเงินรวมจำนวน 182 ราย จาก 334 ราย และในงบการเงินเฉพาะกิจการจำนวน 151 รายจาก 282 ราย ได้ตกลงยอมรับข้อเสนอและรับเงินจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยแล้ว ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 หนี้สินจากการยุติโครงการให้การรักษาพยาบาลตลอดชีพ ซึ่งคำนวณจากจำนวนเงินค่าสมาชิกที่ต้องจ่ายคืนและเงินชดเชยที่อาจต้องจ่ายให้แก่อดีตสมาชิกที่ยังไม่ตอบรับข้อเสนอในงบการเงินรวมมียอดคงค้างจำนวนประมาณ 440 ล้านบาท (เฉพาะบริษัทฯประมาณ 380 ล้านบาท)
ในระหว่างปี 2560 มีอดีตสมาชิกโครงการดังกล่าวบางส่วนที่ยังไม่ได้ตอบรับข้อเสนอ ได้ยื่นฟ้องบริษัทฯและบริษัทย่อยต่อศาล เพื่อให้บริษัทฯและบริษัทย่อยดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป และอดีตสมาชิกอีกส่วนหนึ่งได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทฯและบริษัทย่อย
ต่อมา ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม 2560 ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอดีตสมาชิกที่ฟ้องคดีบางส่วน โดยมีสาระสำคัญ คือ ให้บริษัทฯ ทำการรักษาพยาบาลอดีตสมาชิกในอัตราปกติแบบไม่มีส่วนลด และบางส่วนให้สมาชิกใช้สิทธิตามโครงการ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น โดยศาลได้ให้อดีตสมาชิกที่ได้รับการคุ้มครองชั่วคราวตามคำสั่งศาลทำสัญญาประกันต่อศาลว่าตกลงยินยอมรับผิดชดใช้ค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวแก่บริษัทฯ หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าบริษัทฯ มีสิทธิยุติโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯได้บันทึกอดีตสมาชิกที่มารับการรักษาพยาบาลและยังมิได้ชำระค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวเป็นลูกหนี้ค้างจ่ายไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ในเดือนธันวาคม 2560 มกราคม 2561 และกุมภาพันธ์ 2561 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาในคดีที่อดีตสมาชิกที่ฟ้องคดีบางส่วน โดยให้บริษัทฯปฏิบัติตามข้อตกลงโครงการดังกล่าวต่อไป และในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาในคดีที่อดีตสมาชิกฟ้องคดีอีกบางส่วน โดยให้บริษัทฯปฏิบัติตามข้อตกลงของโครงการดังกล่าวต่อไป และหาก
บริษัทฯไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงของโครงการดังกล่าวต่อไปได้ ให้บริษัทฯจ่ายชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และคดีบางส่วนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทฯ มีความเห็นว่าจากข้อเท็จจริงและบทบัญญัติของกฎหมาย สัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะของสัญญาประกันภัยและการยุติโครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย และการอุทธรณ์ของบริษัทฯมีแนวโน้มที่จะชนะคดีได้
ดังนั้น ฝ่ายบริหารโดยอาศัยความเห็นของที่ปรึกษาทางกฎหมายของบริษัทฯ จึงได้ใช้สิทธิตามกฎหมายยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งสำหรับคดีบางส่วนแล้วเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อให้ศาลสูงได้พิจารณาและพิพากษาคดีให้เป็นที่ยุติและเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลสูง ซึ่งผลของคดียังมีความไม่แน่นอน ดังนั้น บริษัทฯจึงยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ในขณะนี้ ทั้งนี้บริษัทฯได้บันทึกอดีตสมาชิกที่มารับการรักษาพยาบาลและยังมิได้ชำระค่ารักษาพยาบาลโดยอาศัยคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวเป็นลูกหนี้ค้างจ่ายไว้จนกว่าศาลสูงจะมีคำพิพากษา…”
รายงานข้างต้น ทำให้เห็นภาพสะท้อนท่าทีและจุดยืนของบริษัทฯ ว่ามุ่งมั่นที่จะเลิกโครงการดังกล่าว
และสะท้อนว่า มหากาพย์การต่อสู้คดี ระหว่างโรงพยาบาลหรู กับผู้บริโภค จะยังต้องดำเนินต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี