ชาวโลกทั่วไปต่างปฏิเสธระบอบเผด็จการกันเป็นเสียงเดียวดังเห็นได้จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคนดีมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีสักเพียงใด พอก้าวขึ้นสู่อำนาจเผด็จการและใช้อำนาจแบบเผด็จการ ก็จะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป คล้ายเป็นอาการทางจิตวิปริตขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มถดถอย เริ่มหลงไปว่าตนเองเท่านั้นคือความมั่นคงอยู่รอดของประเทศนั่นก็เพราะการอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมืองเป็นเวลานานพาลพาให้คิดไปว่า ตนเองอยู่เหนือศีลธรรมจรรยาทั้งสิ้น หนักๆ เข้าก็ทำตัวเหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกไปในที่สุด แล้วเริ่มบิดเบือนขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะเข้าใจผิดไปว่า ตนเองเป็นมนุษย์พิเศษ ที่ไม่มีวันผิดและไม่มีผู้ใดแตะต้องได้ อาการเหล่านี้ที่เกิดขึ้นแต่ละคนนั้น ต่างกันแค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
และเมื่อประชาชนที่เคยสนับสนุน เคยให้ความหวังได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้นำของเขาเป็นไปในทางเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ ชาวบ้านก็จะเริ่มหาทางออก โดยอาจเริ่มจากการจับกลุ่มแอบวิพากษ์วิจารณ์ ไปจนวิจารณ์ในที่สาธารณะ แล้วก็โดนอำนาจรัฐข่มขู่ กดขี่ จนกระทั่งเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ทนไม่ได้ เลยออกไปรวมพลังต่อต้านเผด็จการ ปฏิเสธอำนาจดิบและอำนาจด้านๆ ที่อ้างเพื่อประเทศ เพื่อความมั่นคง แต่กลับทำทุกสิ่งเพียงเพื่อต่ออายุอำนาจตน เพื่อประโยชน์พวกพ้องตน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างกับกลุ่มคนที่ตนล้มล้างอำนาจไปก่อนหน้า และแม้บางครั้งจะใช้เวลานาน ผ่านการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมาย อำนาจของประชาชนก็มักได้รับชัยชนะเสมอ ผลสุดท้ายเผด็จการส่วนใหญ่ไม่เสียชีวิตอย่างอนาถา ก็ไร้แผ่นดินอยู่ กระบวนการเหล่านี้ โลกได้เห็นกันมาเป็นวัฏจักร เวียนหมุนไปในประวัติศาสตร์การเมืองทั่วไป จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมมนุษย์จึงขยาดกับระบอบเผด็จการไม่ว่าในรูปแบบใด
เรื่องนี่น่าจะแปลกใจก็คือ ทั้งๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็นมากมายเช่นนี้ เหตุใดจึงมีคนคิดอยากจะก้าวเข้าสู่อำนาจเผด็จการกันอยู่ ยังสุมฟืนใส่หัวใจของประชาชน โดยเฉพาะเมื่อพวกพ้อง หรือตนเองทำความผิดใดๆ ก็วางแผนให้สมุนลิ่วล้อเสนอหน้ามาเป็นทนายหน้าหอ ช่วยกันปฏิเสธความผิด และความผิดพลาดใดๆ ของพฤติกรรมนั้นๆในทำนองว่า เป็นคนดีแท้ๆ บ้าง เรื่องที่กระทำไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดาบ้าง ทั้งๆ ที่ชาวบ้านเขาเห็นว่าผิดอยู่ตำตา
หลังจากนั้น ก็จะมีเครือข่ายประชาสัมพันธ์ออกมาช่วยกันโจมตีกลุ่มผู้ใฝ่หาความชอบธรรมว่า พวกนี้เป็นผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง ต้องการทำลายเสถียรภาพบ้านเมือง และกล่าวหาว่าเป็นตัวปัญหาของความแตกแยก ยุ่งเหยิง ก่อนที่จะมีขบวนการที่ฝักใฝ่ความรุนแรง ออกมาทำการข่มขู่ บ่อนทำลาย ด้วยวิธีต่างๆ นานา อีกทอดหนึ่ง โดยอ้างว่าเป็นกลุ่มผู้หวังดีต่อชาติ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว คือการจัดตั้งกลุ่มนักล่าทำลายล้าง ที่ได้รับการสนับสนุนจากอำนาจรัฐนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ คือรูปแบบการสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว เพียงเพื่อให้เรื่องราวฉาวโฉ่ของตนเองจางหายไปจากหน้าสังคม เพราะเข้าใจผิดไปเองว่า ตนเองเท่านั้นที่จะนำพาชาติบ้านเมืองไปได้ เสถียรภาพบ้านเมืองจึงขึ้นกับเสถียรภาพการครองอำนาจของตนเท่านั้น (โดยลืมคิดไปว่า ถ้าทำตัวดีๆ บริหารบ้านเมือง ตามกฎกติกา และหลักศีลธรรมจรรยา ก็ไม่ต้องวุ่นวายทำอะไรเช่นนั้น)
เผด็จการเหล่านี้ ลืมไปว่า สิ่งที่เขาขจัดไม่ได้ ก็คือ กฎแห่งกรรม แค่ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น ซึ่งหากยังพอมีมโนธรรมหลงเหลือในใจอยู่บ้าง ก็คงน่าจะรู้สึกทนทุกข์ทรมานในจิตใจ ในสิ่งเลวร้ายที่ตนเองเป็นต้นเหตุในสังคม เสมือนคุกคุมขังตัวทรมานจิตใจ ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่
อีกสิ่งหนึ่งก็คือ แม้จะปิดหูตนเอง ไม่ให้ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยการปิดปากประชาชนไม่ให้เล็ดรอดออกมายังสาธารณะ แต่ก็ไม่สามารถหนีคำสาปแช่งของผู้คนที่ได้เห็นธาตุแท้ของบรรดาจอมเผด็จการเหล่านี้แม้ชาวบ้านเขาจะไม่ได้พูดออกมาก็จริง แต่ละคนเขาก็คิดสาปแช่งกันอยู่ในใจทั้งสิ้น ซึ่งจะเป็นเหวบาปแก่ตัวจอมเผด็จการเหล่านี้ไป แม้จะไร้ลมหายใจแล้วก็ตาม
นอกจากนั้นแล้ว ลูกหลานของจอมเผด็จการต่างๆ ก็จะต้องเผชิญกับการรังเกียจของสังคม ไปอีกหลายๆ ชั่วอายุ อันเนื่องมาจากประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้ว่า ญาติผู้ใหญ่ของตน มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ เคยได้ทำการกดขี่ประชาชน ซึ่งลูกหลานรุ่นต่อๆ ไป ไม่สามารถช่วยลบล้างความผิดได้ แถมถูกสังคมเหมาให้ร่วมบาปของตนไปด้วย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากเรื่องราวในอดีต ที่เอามาเล่าใหม่ในวันนี้ เพื่อที่จะยืนยันว่า แม้วันนี้ใครจะมีอำนาจที่ค้ำฟ้าในมือ ก็ควรพึงสังวรไว้ว่า อำนาจในมือตนนั้น ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป ไม่ช้าไม่นานก็จะหมดไป จึงจะต้องใช้อำนาจนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศ และประชาชนเท่านั้นไม่ใช้มันไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง โดยจะต้องดำรงตน และกำชับพวกพ้องให้อยู่ภายใต้กฎหมาย และศีลธรรมจรรยา อย่างเคร่งครัด เพราะหลังจากสิ้นไปอำนาจแล้ว พฤติกรรมต่างๆ เมื่อครั้งเรืองอำนาจ ก็จะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น หากเป็นเรื่องที่ผิดหรือเลวร้าย ก็จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมา ด่าประณาม ซึ่งคำสาปแช่งจากประชาชนก็จะยิ่งทวีคูณ
สำหรับผู้มีอำนาจบริหารบ้านเมือง เมื่อเกิดอาการหลงเพลิดเพลินไปกับอำนาจเผด็จการ แม้รู้ทั้งรู้ว่าตนเองผิด หรือพวกพ้องทำสิ่งไม่สมควร หยามจิตใจประชาชน ก็ย่อมจะมีอาการคอแข็ง ก้มหัวขอโทษใครไม่ได้ เพราะถูกมอมเมาด้วยแนวคิดว่าฉันไม่มีวันผิดใครทักท้วง ทวงถาม ก็จะมีอาการโมโหโทโส เพราะคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าผู้ปกป้องบ้านเมือง จะมาลบหลู่กันมิได้ ถ้าเลือกจะเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องปล่อยไปตามยถากรรมรอวันที่กฎแห่งกรรมกลับมาทวงคืน
ส่วนผู้นำที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีที่แท้จริงนั้น เมื่อตนเองหรือพวกพ้องทำผิด หรือแม้แต่ทำในสิ่งที่ไม่สมควร ก็กล้ายืดอกขอโทษกับประชาชน และลงมือปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมทันที ไม่อิดออด หาข้ออ้างสร้างขบวนการฟอกขาวหรือขอความเห็นใจ ให้หยวนๆ กันไป เพราะฉันทำดีมามากมาย เพราะผู้นำที่ดีนั้น ย่อมพึงสังวรได้ว่า ตนเองเป็นผู้รับใช้ประชาชน และมีหน้าที่จะต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ผู้นำที่คิดอ่านเช่นนี้ได้ จะไม่มีวันหลงเข้าไปสู่วัฏจักรของอำนาจเผด็จการให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี