เล่นเอาฝุ่นฟุ้ง ควันตลบ กันเลยทีเดียว เมื่อ คสช. เคาะระฆังให้พรรคการเมืองใหม่ๆ ไปแจ้งจองชื่อพรรคเอาไว้ก่อนกับ กกต.จากนั้นไปดำเนินการรวมคน รวมเงิน แล้วมาจดทะเบียนตั้งเป็นพรรคการเมืองกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วเท้าคางรอคอย ว่าเมื่อไร “วันเลือกตั้ง” จะมาถึง
เข้าไปอ่านเฟซบุ๊คของ “ดร.รัชดา ธนาดิเรก” พบความคิดเห็นน่าสนใจมาก โดยอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ท่านนี้ ระบุว่า “คิดอย่างไรกับการมีพรรคการเมืองใหม่ๆ มันสำคัญที่ประชาชน!!
การมีพรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลของพรรคเก่า แต่เป็นแรงขับให้พรรคเก่าทบทวนและตื่นตัวมองเขามองเรา ทุกคนมีสิทธิ์และโอกาส พรรคใหม่อาจเป็นสีสันหรือทางเลือกใหม่ให้บ้านเมืองได้ทั้งนั้น แน่นอนว่าคะแนนต้องแบ่งกันมากขึ้นท่ามกลางพรรคมากมาย แต่ก็อาจเป็นการกระจายคะแนนมากกว่าการไปกระจุกข้างใดข้างหนึ่ง
สิ่งที่สำคัญสำหรับพรรคการเมือง คือ ต้องนำเสนอนโยบายที่สร้างความมั่นคงและเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศ ทำได้จริง และจะทำจริง สรรหาผู้สมัครที่มีความพร้อมมีความสามารถที่จะมาทำหน้าที่ตัวแทนประชาชน สร้างพรรคให้เป็นสถาบันของประชาชนไม่ใช่นายทุน เมื่อได้เป็นรัฐบาลก็ต้องรับฟังเสียงประชาชน เปิดรับการตรวจสอบภาคประชาชนและองค์กรอิสระ
สำหรับบ้านเมือง จะมีจำนวนพรรคการเมืองมากน้อยอย่างไร คงไม่สำคัญเท่าบทบาทของประชาชนที่จะต้องทำการบ้านก่อนตัดสินใจเลือกนโยบายที่ดี และเลือกพรรคผู้ผลักดันนโยบาย มีความน่าเชื่อถือที่สุด ขอให้ประชาชนสนใจข่าวสาร ตื่นตัวทางการเมือง และตัดสินใจด้วยเหตุผลไม่ใช่เพราะรักหรือเพราะเกลียด และเมื่อได้รัฐบาลแล้วประชาชนต้องใส่ใจการเมืองต่อไป ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง #ไม่เพิกเฉยต่อความไม่ถูกต้อง #ประชาธิปไตยจะงอกงาม”
ประเด็นของ ดร.รัชดา น่าสนใจมาก หากผู้คนจะให้ความสนใจนำไปขบคิดต่อ ไม่มามัวแต่วุ่นวายว่า “ลุงกำนัน” จะตั้งพรรคไหม ลุงตระบัดสัตย์หรือเปล่า หรือลุงเป็นศรีธนญชัย ปากบอกว่าไม่ยุ่งเกี่ยวไม่เกี่ยวข้องแต่จริงๆ ก็บริหารจัดการอยู่ข้างหลัง หรือประเด็นว่า หาก กปปส. ตั้งพรรคจริง จะมีใครไหลออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปอยู่ด้วยบ้าง หรือประเด็นว่า แตกคอกันเองแล้วจะสู้กับพวกทักษิณได้อย่างไร ฯลฯ
1) สิทธิในการ “เลือก” เป็นของประชาชน และหากว่ากันตามรัฐธรรมนูญ มิได้เป็นแค่สิทธิอีกแล้ว การไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎร “เป็นหน้าที่” ซึ่งหากไม่ไปทำหน้าที่ ก็มีบทลงโทษ ด้วยการ“ตัดสิทธิ์ทางการเมือง” หลายประการ ดังนั้น ไม่ว่าใครจะ “เสนอตัว” ใครจะ “ตั้งพรรคใหม่” ใครจะอยู่กับ “พรรคเก่า” อย่าไปก้าวก่ายวุ่นวายกับเขา อยู่ในที่ของเรา รอวันที่เราจะไปทำหน้าที่ “ผู้เลือก” ให้ดีที่สุดกับบ้านของของเราก็พอแล้ว
2) สิทธิในการเสนอตัว ก็เป็นสิทธิของพลเมืองไทยทุกคนในการรวมตัวกันตั้งพรรคก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้มีอะไรกำหนดว่าพรรคเก่าเท่านั้นถึงจะดี พรรคใหม่ไม่ดี หรือต้องพรรคใหม่เท่านั้นที่ดี พรรคเก่าทำความเสียหายมามากแล้ว ที่กล่าวอย่างนี้เพราะทุกพรรค หากมีสำนึกเช่นที่ ดร.รัชดากล่าว ก็ต้องมีพลวัต ให้เท่าทันกับยุคสมัย เรียนรู้จากความผิดพลาด ปรับปรุงการทำงานใหม่ๆ นโยบายใหม่ๆ โดยไม่มุ่ง หาประโยชน์ มาเป็นของตัว แต่ต้องมุ่งสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนเป็นสำคัญ
3) วิธีคิดแบบ ดร.รัชดา นี้ ควรเป็นวิธีคิดที่แพร่หลายพรรคประชาธิปัตย์เอง ควรผลักดันและเปิดพื้นที่ให้วิธีคิดแบบนี้ปรากฏขึ้นมากๆ ในนามของพรรค เพื่อภาพลักษณ์และภาพจำที่คนทั่วไปจะได้มองเห็น “ความเปลี่ยนแปลง” และ “ความเป็นมืออาชีพ” ทางการเมืองของพรรค เกิดความรู้สึกเชิงบวก เห็นความใจกว้างทางประชาธิปไตย และมิได้หวั่นไหวต่อการจะเสนอตัวในการเลือกตั้ง ที่ยังไม่รู้หรอกว่า จะมีจริงหรือไม่มีในปีหน้า
4) ด้านหนึ่ง มันก็งามในมุมของมัน ที่พรรคประชาธิปัตย์คือพื้นที่แบบอย่างของความมี “ประชาธิปไตย” ใครอยากพูดอะไรก็พูดแต่พอเผยแพร่ออกมา มันไม่ใช่ในนามส่วนตัวอีกแล้ว สื่อและสังคมออนไลน์ นำไปปรุงแต่งและพาดหัวข่าวว่า “ปชป.” ทุกทีไป หาใช่ นิพิฏฐ์, วัชระ, มัลลิการ์ ฯลฯ ตามที่พูดไม่
5) เวลานี้ วิธีคิดแบบ ดร.รัชดา ถูกเผยแพร่น้อยกว่าข่าวของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่เสนอนำเสนอว่า ออกมาเช็คกระแสว่า สส.พัทลุง จะย้ายพรรคไหม สส.ใต้ใครจะอยู่กับพรรคเก่า ใครจะย้ายไปพรรคใหม่
6) ขณะที่ ดร.รัชดาบอกว่า พรรคใหม่มีไปเถอะ มีไป แต่จะเก่าหรือใหม่ ล้วนมีหน้าที่ต่อประชาชนและประเทศชาติ ต้องปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ ต้องมีอดุมการณ์ ซึ่งสร้าง “วิธีคิด” ที่ดีในหมู่ประชาชนอีกภาพหนึ่ง ผู้คนก็เห็น สส.บางคน “ออกอาการ” กับการมีพรรคใหม่ถึงกับเร่งรีบเช็คชื่อ เช็คจำนวนกันเลยทีเดียว คนก็เลยกรูกันเข้าไป “รับรส”ความแซ่บ จากข่าวการแตกกลุ่มกันเอง ระหว่าง ปชป. กับกปปส.มากกว่า “รับรู้” วิธีคิด ที่ควรนำไปคิดพิจารณา ดังที่ ดร.รัชดานำเสนอ
7) วัฒนธรรม “เสรีชน” คือ ใครจะพูดอะไรก็ได้ ของพรรคประชาธิปัตย์นี่ ในมุมดีมันก็ดี ว่าพรรคเขามีประชาธิปไตย แต่ในแง่ “ความเชื่อมั่น” คนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกว่า หัวหน้าพรรคเขา“ปกครองลูกพรรค” เขาได้ไหมนั่น “ความเป็นเอกภาพ” ทั้งทางความคิดและแนวทางของพรรคนี้มีไหม? บางเรื่องหัวหน้าพูดอย่าง ลูกพรรคพูดอีกอย่าง แย้งกันเองในพื้นที่ข่าว คนก็งงว่า นี่คือ “อะไร?” ขนาดลูกพรรคตัวเองยังเอาไม่อยู่ ยังไม่เคารพหัวหน้า แล้วจะมานำทัพในสนามเลือกตั้ง เป็นความหวังให้คนเลือกเพื่อไปปกครองประเทศชาติ-จะไหวมั้ย? คนก็รู้สึกกันไป ต่างๆ นานา
8) เวลานี้ อยากจะดึงทุกท่านกลับมาอยู่กับ “ประเด็น” ที่ว่าใครเขาอยากเสนอตัวก็ให้เขาเสนอไป มันเป็นสิทธิของเขา เราไม่รักไม่ชอบ ก็ใช้สิทธิของการเป็น “ผู้เลือก” ไปเลือกหรือไม่เลือก ก็แค่นั้นเองอย่าต้องมาทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันนักเลย
9) ผมยังสนใจการเกิดขึ้นของพรรค “คนหนุ่ม” ที่ประกาศนำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายปิยบุตร แสงกนกกุลสองคนนี้ “ยุ่งกับพื้นที่การเมือง” มานานแล้ว ไม่ใช่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาทางการเมืองอะไร ทั้งการสนับสนุนนิตยสารแซะเจ้า อย่าง “ฟ้าเดียวกัน”การเคลื่อนไหวของนักศึกษา นปช. และแสดงตนชัดเจนเป็นนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ เฉพาะปิยบุตรนั้น ถึงกับเคยประกาศว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรมีพระราชดำรัสกับประชาชนในที่สาธารณะ
10) ที่บอกว่าผมสนใจก็คือ นี่เป็นนิมิตหมายที่ดี ที่คนเหล่านี้จะเปลี่ยน “สนาม” ในการเล่นการเมือง จากชั้นใต้ดิน ขึ้นมาชั้นบนๆ แล้ว ประกอบกับรัฐธรรมนูญปัจจุบัน สร้างระบบการนับคะแนนที่เป็น “ความหวัง” ของพรรคเล็กพรรคน้อยและพรรคใหม่ๆ ที่จะได้ “ตัวแทน” จากกลุ่มอุดมการณ์ของเขา เข้าไปทำหน้าที่ “ผู้แทนราษฎร” บ้าง
11) ทุกกลุ่มอุดมการณ์ ควรมี “ตัวแทน” ของตนในระบบมิใช่หรือ นี่คือความงามของประชาธิปไตย แต่เขาจะได้รับเลือกมากหรือน้อยเพียงใด ก็อยู่ที่ “ผู้เลือก” คือ “ประชาชน” ซึ่งต้องมีสติ และเลือกตามความต้องการที่ไตร่ตรองแล้วของตน เพราะทุกคะแนนคราวนี้ ไม่มีตกหล่น เขาเอาไปนับทั้งหมด และจัดสรรในระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งพรรคเล็กๆ และพรรคใหม่ๆ เขาหวังตรงนี้
12) ผมไม่คิดว่ากลุ่มของนายธนาธรจะชนะถล่มทลายในวันนี้ แต่เป็นการ “ยกระดับการสู้” เข้าสู่อีกสนามหนึ่ง เพื่อ “ลองดู”บวกกับการนับคะแนนแบบใหม่ ทำให้เชื่อว่า คะแนนจากพวกนิสิตนักศึกษา พวกเอือมระอาความขัดแย้ง กับพวก “เลือกขำๆ”จะทำให้เขามีเก้าอี้ในสภา ไม่มากก็น้อย เพราะมันประมาณ 60,000-80,000 คะแนน ก็ได้ สส.บัญชีรายชื่อ 1 คนแล้ว คิดว่าเขาจะไม่ได้เลยเชียวหรือ
13) ผมจะดีใจ หากพวกเขาได้รับเลือกเข้าไปในระบบรัฐสภาบ้าง เพราะจุดยืนของผมคือ ผมเคารพในทุกกลุ่มอุดมการณ์ และทุกกลุ่มอุดมการณ์ควรมี “ตัวแทน” ของตน และรบรากันอย่างมีคุณภาพในระบบ เรียนรู้กติกาของระบบ และผลักดันอุดมการณ์ของตนในระบบ แต่ถามว่าผมจะเลือกเขาไหม ผมคงไม่เลือก เพราะเขาไม่อยู่ในสภาพ “ตัวแทนอุดมการณ์” ของผม แต่เราจะไม่เกลียดชังกัน
14) แต่ต้องเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่า ระบบการหาผู้แทนราษฎรเพื่อเป็น “ตัวแทน” ไปทำหน้าที่ในสภานั้น ไม่ได้มีไว้ให้ใช้ “สำเร็จความใคร่ทางการเมือง” แต่มีไว้เพื่อบริหารจัดการกับปัญหาและโอกาสของบ้านเมือง กล่าวคือ อย่าเข้ามาเพียงเพื่อจะบำบัดความต้องการลึกๆ ของตนเอง แต่ต้องมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศชาติและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า
15) ธนาธรพูดถูกอยู่อย่างหนึ่ง คือ 10 ปี แล้วที่บ้านเมืองเอาแต่ขัดแย้งกัน จนทิ้งการพัฒนา และทิ้งคนรุ่นหนึ่งที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งในสถานการณ์ที่ว่า ให้ยืนมองตาปริบๆ ว่านี่หรือ คือบ้านเมืองของฉัน ดังนั้น ย่อมเป็นเรื่องดีที่คนรุ่นนั้นจะ “ส่งผู้แทน” ของเขาเข้ามาสร้างดุลยภาพใหม่ สร้างทิศทางใหม่ๆ ให้แก่ประเทศชาติและประชาชน
16) เพียงแต่ ธนาธรกับปิยบุตรและพวก ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความขัดแย้งในอดีตจริงหรือ? แต่ต่อให้เขาใช่ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่อย่า “ตบตา” อย่า “สร้างภาพลวง” เพื่อ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” อะไรที่คุณเคยอยู่เบื้องหลัง เคยผลักดัน จงเปิดเผยมันออกมา ในเวลาที่สังคมก็เริ่มจะ “ปอกเปลือก” พวกคุณแล้ว
17) ชอบที่สุดคือ ใจลส์ ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่ตั้งคำถามกับธนาธรและปิยบุตรว่า “ปี 2549 พนักงานบริษัทไทยซัมมิท อีสเทิร์น ซีบอร์ด ออโต้พาร์ท อินดัสตรี จำกัด จำนวน 260 คน ถูกเลิกจ้างงาน เพราะได้ไปสมัครเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้าประเทศไทย ต่อมาในปี 2557 บริษัทซัมมิทมีการกดดันให้พนักงานทำงานล่วงเวลา แทนที่จะจ่ายค่าจ้างในระดับเพียงพอและรับสมัครคนงานเพิ่ม และบริษัทก็ลงโทษพนักงานที่ไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานล่วงเวลา นอกจากนี้ทางบริษัทได้ออกคำสั่งให้กรรมการสหภาพ 4 ท่าน คือ ประธาน รองประธาน กรรมการพื้นที่แหลมฉบัง และกรรมการพื้นที่ระยอง หยุดปฏิบัติงาน เพื่อหวังปลดออก สรุปแล้วบริษัทซัมมิทของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีประวัติการปราบปรามสหภาพแรงงาน และละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในการรวมตัวกันของลูกจ้าง สิ่งเหล่านี้จะขัดแย้งกับนโยบายของพรรคคนรุ่นใหม่ที่ประกาศว่าจะพาคนไทยออกจากยุคเผด็จการหรือไม่? หรือพรรคจะไม่สนใจประชาธิปไตยในสถานที่ทำงาน? นอกจากนี้พรรคจะมีนโยบายที่ดีกว่ารัฐบาลอื่นๆ ในเรื่องการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำหรือไม่?จะมีนโยบายในการลดชั่วโมงการทำงานของคนทำงานเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตหรือไม่?”
ดูกันต่อไปครับ ว่าแต่ละพรรค ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ จะปรับเปลี่ยนตนเองให้เป็น “ตัวเลือกที่น่าเลือก” สำหรับผู้เลือกได้เพียงใดจะมองปัญหาของประเทศชาติได้ชัด และนำเสนอทางแก้ได้ใช่เพียงใด
สุดท้ายหน้าที่ของคนไทย ก็เป็นอย่างที่ ดร.รัชดาบอก คือ “จะมีจำนวนพรรคการเมืองมากน้อยอย่างไร คงไม่สำคัญเท่าบทบาทของประชาชนที่จะต้องทำการบ้านก่อนตัดสินใจเลือกนโยบายที่ดี และเลือกพรรคผู้ผลักดันนโยบายมีความน่าเชื่อถือที่สุด ขอให้ประชาชนสนใจข่าวสาร ตื่นตัวทางการเมือง และตัดสินใจด้วยเหตุผลไม่ใช่เพราะรักหรือเพราะเกลียด และเมื่อได้รัฐบาลแล้วประชาชนต้องใส่ใจการเมืองต่อไป ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง#ไม่เพิกเฉยต่อความไม่ถูกต้อง#ประชาธิปไตยจะงอกงาม”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี