หลังจากเวลาเกือบสี่ปีที่การเมืองของประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการด้วยการปฏิวัติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในขณะนั้นเป็นหัวหน้า ปกครองประเทศตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน โดยเป็นนายทหารนอกราชการและเดินทางสู่ความเป็นนักการเมืองเต็มตัว (ความจริงเป็นนักการเมืองตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว)
ในฐานะองค์อธิปัตย์มีดาบอาญาสิทธิ์ คือ มาตรา 44 ซึ่งสามารถสั่งการใดๆได้เด็ดขาด ซึ่งการใช้ดาบอาญาสิทธิ์ของท่าน ทะลุทะลวงสิ่งติดขัดที่รัฐบาลประชาธิปไตยไม่สามารถทำได้หลายเรื่อง โดยเฉพาะทำให้เกิดความสงบแก่สังคมและปราบปรามผู้กระทำผิดประพฤติมิชอบทั้งในวงราชการและสังคมโดยทั่วไปหลายเรื่อง แต่ยังไม่สามารถชำระล้างความสกปรกอีกบางกรณีที่เกิดจากความเกรงใจหรือมองไม่เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
นอกจากดาบอาญาสิทธิ์ที่มีแล้ว การบริหารประเทศภายใต้ร่มเงาแห่งการรัฐประหารทำให้สามารถบริหารได้อย่างไม่มีเสียงคัดค้าน ยกเว้นมีเสียงนกเสียงการ้องประปราย เพราะไม่มีองค์กรที่ทำหน้าที่ท้วงติงดังเช่นการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ดี การผ่อนคลายการบริหารประเทศด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 แม้เนื้อหาจะไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยทั้งหมด หรือเรียกตามภาษาตลาดว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”ก็ตาม เมื่อการเมืองของประเทศเดินทางเข้าสู่โหมดประชาธิปไตยครึ่งใบแล้ว สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้น คือ การเลือกตั้งตัวแทนของประชาชน หรือผู้แทนราษฎร แม้จะมีสมาชิกสภาที่ได้รับการแต่งตั้งมาร่วมด้วยก็ตาม แต่เมื่อถึงตอนนั้น การเมืองของประเทศย่อมเปลี่ยนไป เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ประกอบด้วย กลุ่มหรือพรรคที่สนับสนุนรัฐบาลและกลุ่มที่ไม่สนับสนุน หรือบางกลุ่มก็สนับสนุนในบางกรณีและไม่สนับสนุนในบางกรณี
นอกจากนี้สมาชิกรัฐสภาซึ่งเรียกว่า นักการเมืองจะต้องมีการตั้งกระทู้ถามอภิปรายคัดค้านจากสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลกระทำ ซึ่งผู้ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลตามคาดคะเน คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะพบสถานการณ์ที่แตกต่างจากที่เคยบริหารประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เพราะนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนจะมีความเป็นอิสระ ต่างกับสมาชิกสภานิติบัญญัติที่มาจากการแต่งตั้งอย่างแน่นอน
ฉะนั้นแม้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ โดยเสียงสนับสนุนในรัฐสภาก็ตาม แต่บรรยากาศและพฤติกรรมของสมาชิกในรัฐสภาย่อมเปลี่ยนไป การบริหารประเทศที่จะเกิดขึ้นต่อไปคงจะไม่ง่ายดังที่ผ่านมา
งานการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่จะเกิดขึ้นกับตัวนายกรัฐมนตรีและคณะจะเป็นงานที่ท้าทายความสามารถอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี ในฐานะที่เป็นสมาชิกสังคมไทยที่อยู่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าคงเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงหวังว่าคงจะนำประเทศไปสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืนตามที่ท่านได้เคยประกาศไว้
อย่างไรก็ดี การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีในบรรยากาศที่เปลี่ยนไป พลเอกประยุทธ์คงจะต้องปรับท่าทีและอดทนต่อบรรยากาศใหม่ภายใต้บริบทที่เปลี่ยนไป และบริหารตามเจตนารมณ์ที่จะสร้างอนาคตของประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติที่ได้ประกาศไว้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี