การป้องกันปราบปรามทุจริตในไทยยังคงเป็นข่าวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสังคมซึ่งที่จริงปัญหานี้ได้เกิดขึ้นในประเทศของเรามายาวนานมากโดยว่ากันตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้นการทุจริตจะเกิดขึ้นมาจากความล้มเหลวของการบริหารขององค์กรต่างๆ ในสังคมมาโดยตลอดเป็นระยะเวลานานมากกว่า 70 ปีนับตั้งแต่วันที่สิ้นสุดมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันที่ 9 สิงหาคมปี 2488 เป็นต้นมา
ในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมานั้น นักการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นได้เข้ามามีอำนาจและบทบาทอย่างเต็มที่หลังหมดยุครัฐบาลของ ฯพณฯพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ปรากฏว่ามีข่าวการทุจริตเกิดขึ้นอย่างมหาศาลแม้เราจะมีองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตตามรัฐธรรมนูญมากถึง 3 องค์กรก็ตาม
ซึ่งได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) แต่การทุจริตทั้งในระบบราชการและระบบการเมืองก็ไม่ได้ลดลงแต่กลับมีเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
แทนที่จะเกิดความเกรงกลัวกลับไม่มีผู้ที่สนใจนักเพราะนักการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นต่างก็ไม่กลัวการลงโทษเนื่องจากอาศัยคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งฟอกตัวเองทำให้ความผิดกลายเป็นความถูกนักการเมืองใช้เสียงของนักการเมืองในสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้ตัวเองพ้นจากความผิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมืองในระบอบทักษิณได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีเงินมหาศาลสามารถใช้อำนาจเงินจัดตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศได้อย่างสบายจากการอาศัยคะแนนเสียงจากประชาชนที่เห็นผิดเป็นชอบนักการเมืองที่อยู่ในระบอบทักษิณตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปี 2557 ได้อาศัยคะแนนนเสียงจากประชาชนในพื้นที่ที่พวกเขาชนะเลือกตั้งเข้ามาดำเนินการฟอกตัวของนักการเมืองให้พ้นจากความผิดแทบทุกครั้ง
ซึ่งตามทฤษฎีพบว่าเมื่อประชาชนโกงก็จะมีส่วนที่จะเลือกเอานักการเมืองโกงเป็นผู้แทนตามเข้าสู่สภาด้วยแม้แต่ชาวตะวันตกที่เข้ามาเยือนประเทศในแต่ละปีเป็นจำนวนนับล้านรายกลับเห็นดีเห็นงามกับนักการเมืองขี้ฉ้อคดโกงเหล่านี้เนื่องจากอำนาจเงินที่ใช้นั้นถือเป็นการล็อบบี้ทางการเมืองนั่นเอง
ความล้มเหลวของสังคมไทยที่ผ่านมาส่วนหนึ่งมาจากการขาดความรับผิดชอบของนักการเมืองทุกๆ ระดับ ในขณะที่เขาอภิปรายต่อหน้านักการเมืองหรือประชาชนเขาจะมีคำมั่นสัญญาที่ดูดีสวยหรูนำภาษีอากรของรัฐที่จัดเก็บจากประชาชนในเมืองใหญ่นำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในชนบทที่ยังมีฐานะที่ยากจน
โดยอ้างความเดือดร้อนที่เป็นของประชาชนเพื่อหาทางใช้นโยบายประชานิยมเข้ามาแก้ไขปัญหาเป็นช่องทางให้นักการเมืองเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการอ้างคำว่าประชาธิปไตยบังหน้าซึ่งนับเป็นเรื่องที่ถือว่าไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี