คำถามที่ยังคงเป็นที่คาใจใครต่อใครมากมายเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีแล้วก็คือ ทำไมเศรษฐกิจไทยดีแต่ประชาชนไม่รู้สึก !?
หากจะให้ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ตอบได้หลายแบบครับ คำตอบที่พอได้ยินผ่านๆ หู มีหลายรูปแบบเลยทีเดียว บ้างก็บอกว่า ก็ประชารัฐไง มีแต่คนรวยบริษัทใหญ่ได้ คนจนไม่ได้อะไร หรือไม่ก็ โลกเราเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีรวดเร็ว การค้าขาย E-Commerce มีบทบาทสำคัญ คนสั่งของออนไลน์กันหมดแล้ว กินอาหารก็ใช้ไลน์แมนสั่งอาหาร คนที่บ่นว่า ฝืดเคืองคือพวกไม่ปรับตัว แบบนี้ก็มีเช่นกัน หรือจะเป็นคำตอบแบบการเมืองจ๋าๆ ไปเลยก็เช่น เป็นวาทกรรมของฝั่งโจมตีรัฐบาลลุงตู่บ้างล่ะ แต่ที่แน่ๆ จะอธิบายอย่างไรให้ดี วันนี้จะขอให้มาฟังคำอธิบายจากตัวเลขและหลักคิดการคำนวณโดยคุณบรรยง พงษ์พานิช กันอีกครั้งครับ
สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดหุ้น ทุกคนทราบดีว่าคือตลาดที่บริษัทยักษ์ใหญ่นายทุนไทย-เทศเขาเข้าไปค้าขายทุนและเงินกัน บริษัทในนี้โชว์ตัวเลขเอาไว้ กำไรมหาศาลแค่ไหนไปดูกัน
รายงานข่าวบอกว่า... “ตลาดหลักทรัพย์” เผยปี 2560 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิ 9.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.90% จากเศรษฐกิจไทยขยายตัวดี
โดยคุณเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน SET จำนวน 566 บริษัท หรือคิดเป็น 97.75% จากทั้งหมด 579 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงานงวดปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 บจ.มีผลประกอบการสูงขึ้นทั้งยอดขายและกำไรสุทธิโดยมียอดขายรวม 11.01 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาคิดเป็น 9.72% และมีกำไรสุทธิรวม 9.82 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.05% ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิของหมวดธนาคารปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องมาจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น ด้านผลการดำเนินงานของบจ.ใน mai กำไรสุทธิ 4.97 พันล้านบาท ทำให้ในงวดปี 2560 กำไรสุทธิรวมของบจ. SET และ mai ทั้งสิ้น 9.9 แสนล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2560 จากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บจ.มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทั้งด้านยอดขายและกำไร โดยบจ.มีกำไรสุทธิ 2.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.26% จากไตรมาส 4/2559 และเพิ่มขึ้น 20.47% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2560 ขณะที่ยอดขายไตรมาส 4/2560 อยู่ที่ 2.9 ล้านล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานของบจ. ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2560 บจ.mai มีกำไรสุทธิ 4.97 พันล้านบาทลดลง 13.54% เมื่อเทียบกับปี 2559 ทั้งนี้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 24.80% เป็น 23.20%
เชื่อผมเถอะครับหลายคนเวลาอ่านข่าวลักษณะนี้ มักจะงงว่าเว้นวรรคตรงไหน สรุปมันแปลว่าอะไร ย่อยใหม่ให้ง่ายขึ้นก็คือว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นไทยมีรายได้ 11 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อดูเทียบกับ GDP ของไทยที่มีมูลค่าประมาณ 14 ล้านล้านนั้น ถือว่าใกล้เคียงมากๆ อีกไม่นานก็อาจแซง ในจำนวน 11 ล้านล้าน ที่บริษัทหารายได้กันมาได้นี้คิดเป็นผลกำไร 9.9 แสนล้านบาท และโตกว่า 9%
เรามาดูผลการวิเคราะห์ตัวเลขนี้ของคุณบรรยงกันครับ...
คุณบรรยงแกก็ได้วิเคราะห์โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า“สัญญาณบวกหรือสัญญาณอันตรายกันแน่?” ...
เมื่อสองอาทิตย์ก่อน สภาพัฒน์ประกาศว่า เศรษฐกิจไตรมาสสี่ 2560 ขยายตัว 4.0% ทำให้ปีที่แล้วทั้งปีเติบโตได้ 3.9% สูงสุดในรอบสี่ปีและทุกฝ่าย
ต่างก็มั่นใจว่าปีนี้จะดีขึ้นอีก
พอมาเมื่อวาน ตลาดหลักทรัพย์ก็ประกาศอย่างภาคภูมิว่า ปี 2560 บริษัทจดทะเบียน 566 บริษัท มีกำไรสุทธิไตรมาสสี่ 2.51 แสนล้าน เพิ่มขึ้นถึง 25.26% และกำไรทั้งปี รวม 9.9 แสนล้านบาทเพิ่ม 8.9% จึงเป็นเรื่องไม่แปลกอะไรที่หุ้นจะขึ้นมาทำสถิติดัชนีสูงกว่า 1,800 จุด
พอเอาข่าวสองข่าวมารวมกัน มันทำให้ผมคิดถึงบทสรุปในหนังสือ Capital in the Twenty-first Century อันโด่งดังของ Thamas Piketty ที่ว่า ตราบใดที่ r>g ซึ่งก็คือผลตอบแทนของทุนมากกว่าอัตราเติบโตของเศรษฐกิจไปต่อเนื่องนานๆ ความเหลื่อมล้ำก็จะทวีขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดทุกอย่างจะตกเป็นของเจ้าของทุนหรือคนรวยหมดเลย
นี่ไม่ใช่ปีแรกในประเทศไทยที่ r>g ...อย่างถ้าดูอัตราเติบโตก็จะเห็นชัดของรวม (100% ของ GDP) เติบโต 5% (รวมเงินเฟ้อ) แต่กำไรบริษัทซึ่งมีประมาณ 30% ของ GDP โตได้ 9% มันก็คำนวณได้เลยว่า ภาคส่วนที่เหลือ (on income side) จะโตได้ในอัตราแท้จริงแค่ 2.3% ซึ่งนับว่า ต่ำมาก (แต่ยังดีกว่าปีที่แล้วที่ภาคส่วนอื่นติดลบเลยครับ) โดยเฉพาะสำหรับประเทศ emerging ที่ยังไม่รวยอย่างเราและจะทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ผมไม่ได้บอกว่าการที่บริษัทจดทะเบียนกำไรเพิ่มเป็นสิ่งไม่ดีนะครับโดยเฉพาะถ้าเพิ่มเพราะการขยายตัวการลงทุนเพิ่ม การเพิ่มประสิทธิภาพและอยู่ภายใต้การแข่งขันที่สมบูรณ์ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องดีเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ตัวเลขมันสะท้อนให้เห็นปัญหาอื่น
มันให้เห็นว่า นอกจาก Growth จะต่ำ (3.9% นี่ต่ำที่สุดใน ASEAN นะครับ)แล้ว มันยังไม่ Inclusive ด้วยมันค่อนข้างจะกระจุกอย่างที่ทราบกันอยู่
ความจริงทั้งหมดนี่เป็นปัญหาโลกแตกที่เป็นกันเกือบทั้งโลก เพียงแต่ของเรามันแป้กมานานอัตราโตมันแย่ แถมทำท่าจะเป็นสังคมที่แก่ก่อนรวย แรงกดดันเลยมากเป็นพิเศษ
ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะครับ อย่าชะล่าใจกับการแค่เห็นอัตราเติบโตดีขึ้น !!
........................
ประจวบกับในช่วงเดียวกันนี้ มีข่าวรายงานการจัดอันดับเศรษฐีทั่วโลกและเศรษฐีของไทย พบว่า มีการปรับเปลี่ยนอันดับเล็กน้อย
ของต่างประเทศนั้น อันดับ 1 กลายเป็น เจ้าของอเมซอนบริษัทอี-คอมเมิร์ซ แน่นอนคือด้านเทคโนโลยี ส่วนอันดับ 2 คือแชมป์เก่า บิล เกตส์ ก็บริษัทไมโครซอฟท์ เทคโนโลยีอีก ของทั่วโลก บริษัทที่มั่งคั่งส่วนใหญ่มาจากการพัฒนาเทคโนโลยีด้วยมันสมองของคนรุ่นใหม่ ทั้งอเมซอน ไมโครซอฟท์ รวมไปถึง เฟซบุ๊ค อาลีบาบา กูเกิ้ล แอปเปิ้ล ทั้งหลาย
แต่พอกลับมาดูการจัดอันดับของไทยจะพบว่าอันดับต้นๆ ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจมีเคยมีประเด็นค่าเช่าทางเศรษฐกิจ มีการผูกขาด มีการเข้าถึงการใช้ทรัพยากรของรัฐ หรือผ่านการได้ใช้อำนาจทางกฎหมายที่เอื้อโดยรัฐทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือ มิได้มาด้วยการแข่งขันที่เสรีตั้งแต่ต้น
เมื่อดูใน Top 5 ของบริษัทที่ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯของไทยพบว่า ส่วนใหญ่คือ บริษัทผูกขาด ! ไม่ว่าจะเป็น ปตท. การท่าอากาศยาน หรือแม้กระทั่ง CP-All ที่เหมือนจะไม่ผูกขาดแต่ทุกท่านก็ทราบในหลายๆ ประเด็นของซีพีดีอยู่แล้ว แย่ไปกว่านั้น ภาครัฐยังขาดเครื่องมือ และกลไกในการถ่วงดุลเพื่อสร้างความเป็นธรรมในนักธุรกิจรายเล็ก SME ให้ต่อสู้ในตลาดการค้าได้อย่างเป็นธรรม
ผลของมันก็อย่างที่คุณบรรยงแกได้กล่าวไปครับว่าก็รังแต่จะทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ถ่างขึ้นไปเรื่อยๆ คนรวย ยิ่งรวย คนจนยิ่งจน
อัตราส่วนความเหลื่อมล้ำของไทยเรามีช่องว่างห่างกัน13 เท่า มาเป็นเวลา 20 ปีแล้วไม่เปลี่ยนแปลง ข้อดีคือยังไม่ถ่างมากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือไม่เคยลดลงเลย และเหตุใหญ่สำคัญที่สุดคือ พื้นฐานในการเข้าถึงการศึกษา เพราะว่า ไม่มีทางเลยที่หากคนมีความรู้ความสามารถเท่าเทียมกันแล้ว จะมีรายได้ต่างกัน 13 เท่า
ก็เป็นโจทย์ให้ทางคุณกรณ์ จาติกวณิช ทีมนโยบายประชาธิปัตย์ ต้องทำการบ้าน และคิดหาคำตอบต่อไปสำหรับเรื่องราวในประเด็นเหล่านี้ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี